ประวัติ Armie Hammer อาร์มี่ แฮมเมอร์

Armie Hammerสวัสดีครับแฟนๆ Movie24HD! วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับนักแสดงหนุ่มที่เคยโด่งดังและมีผลงานเป็นที่พูดถึงอย่างมากในฮอลลีวูด นั่นคือ อาร์มี่ แฮมเมอร์ (Armie Hammer) เขาคือใคร มีผลงานอะไรบ้าง และเส้นทางอาชีพของเขาเป็นอย่างไร เรามาเจาะลึกกันเลยครับ!
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังอาร์มี่ แฮมเมอร์: ดาวรุ่งจากตระกูลดัง สู่บทบาทที่น่าจดจำ
อาร์มี่ แฮมเมอร์ มีชื่อเต็มว่า อาร์มันด์ ดักลาส แฮมเมอร์ (Armand Douglas Hammer) เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1986 ที่แซนตามอนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาเป็นทายาทของตระกูลแฮมเมอร์ ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง โดยเป็นเหลนของ อาร์มันด์ แฮมเมอร์ นักธุรกิจและนักการกุศลชื่อดังอาร์มี่เริ่มต้นเส้นทางในวงการแสดงในปี 2005 และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากบทบาทในภาพยนตร์และซีรีส์หลายเรื่อง
ผลงานการแสดงที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำ
อาร์มี่ แฮมเมอร์ สร้างชื่อเสียงจากการแสดงในบทบาทที่หลากหลาย และได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ในหลายเรื่อง นี่คือผลงานเด่นๆ ของเขา:
- The Social Network (2010): นี่คือภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดเขาอย่างเต็มตัว! อาร์มี่รับบทเป็น สองพี่น้องฝาแฝดคาเมรอนและไทเลอร์ วิงเคิลวอสส์ (Cameron and Tyler Winklevoss) ผู้กล่าวหา Mark Zuckerberg ว่าขโมยไอเดีย Facebook ไป บทบาทนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงที่ซับซ้อนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม (คะแนนจาก IMDB: 7.8/10, Rotten Tomatoes: 96%)
- J. Edgar (2011): ภาพยนตร์ชีวประวัติที่เขารับบทเป็น ไคลด์ โทลสัน (Clyde Tolson) เพื่อนสนิทและผู้ช่วยของ J. Edgar Hoover (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) การแสดงของเขาได้รับคำวิจารณ์ที่ดี
- Mirror Mirror (2012): ภาพยนตร์แฟนตาซีที่เขารับบทเป็น เจ้าชายอัลคอตต์ (Prince Alcott) ร่วมกับ Lily Collins และ Julia Roberts
- The Lone Ranger (2013): ภาพยนตร์แนวคาวบอยที่เขารับบทเป็น จอห์น รีด หรือ The Lone Ranger ประกบคู่กับ Johnny Depp
- The Man from U.N.C.L.E. (2015): ภาพยนตร์แอ็คชั่นสายลับที่เขารับบทเป็นสายลับรัสเซีย อิลยา คูร์ยาคิน (Illya Kuryakin) ซึ่งเขาได้แสดงเคมีที่เข้ากันได้ดีกับ Henry Cavill
- Nocturnal Animals (2016): ภาพยนตร์ระทึกขวัญจิตวิทยาของ Tom Ford ที่เขามารับบทเป็นหนึ่งในนักแสดงสมทบ
- Call Me By Your Name (2017): ภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับเขาและ Timothée Chalamet อาร์มี่รับบทเป็น โอลิเวอร์ (Oliver) การแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe Award อีกด้วย (คะแนนจาก IMDB: 7.9/10, Rotten Tomatoes: 93%)
- On the Basis of Sex (2018): ภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับ Ruth Bader Ginsburg ที่เขารับบทเป็นสามีของเธอ
- Hotel Mumbai (2018): ภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เขาแสดงนำในบทบาทผู้รอดชีวิตจากการก่อการร้าย
- Death on the Nile (2022): ภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนจากนิยายของ Agatha Christie ที่เขารับบทเป็น ไซมอน ดอยล์ (Simon Doyle)
ข่าวฉาวและจุดเปลี่ยนในอาชีพ
ในปี 2021 อาชีพการแสดงของอาร์มี่ แฮมเมอร์ต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน หลังจากมีผู้หญิงหลายคนออกมากล่าวหาเขาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ พฤติกรรมที่รุนแรง และรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติ รวมถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับรสนิยมแบบกินเนื้อมนุษย์ (Cannibalism) ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความตกตะลึงและเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
แม้ว่าอาร์มี่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทางอาญาทั้งหมด และไม่มีการตั้งข้อหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออาชีพของเขา เขาถูกปลดออกจากโปรเจกต์ภาพยนตร์หลายเรื่อง และถูกบริษัทตัวแทนยกเลิกสัญญา ส่งผลให้เขาต้องห่างหายจากวงการฮอลลีวูดไปพักใหญ่
หลังจากนั้นไม่นาน อาร์มี่ได้ออกมาเปิดใจถึงชีวิตส่วนตัวและข่าวฉาวที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าตนเองเคยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเห็นแก่ตัว แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่รุนแรงกว่านั้น เขาได้เข้ารับการบำบัดเพื่อจัดการกับปัญหาทางจิตใจและพฤติกรรม
ปัจจุบันและอนาคต
ในช่วงปลายปี 2024 และต้นปี 2025 มีรายงานว่า อาร์มี่ แฮมเมอร์ เริ่มกลับมารับงานแสดงบ้างแล้ว และได้รับข้อเสนอจากโปรเจกต์ต่างๆ มากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาอาจกำลังพยายามกลับคืนสู่เส้นทางอาชีพนักแสดงอีกครั้ง หลังจากที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ อาร์มี่ แฮมเมอร์
Q: อาร์มี่ แฮมเมอร์ เกิดเมื่อไหร่?
A: เขาเกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1986 ครับ
Q: บทบาทใดที่ทำให้ อาร์มี่ แฮมเมอร์ เป็นที่รู้จักมากที่สุด?
A: บทบาท สองพี่น้องฝาแฝดคาเมรอนและไทเลอร์ วิงเคิลวอสส์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Social Network (2010) และบทบาท โอลิเวอร์ ใน Call Me By Your Name (2017) ครับ
Q: อาร์มี่ แฮมเมอร์ มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลดังอย่างไร?
A: เขาเป็นเหลนของ อาร์มันด์ แฮมเมอร์ นักธุรกิจและนักการกุศลผู้มั่งคั่งครับ
Q: ข่าวฉาวที่ส่งผลกระทบต่ออาชีพของ อาร์มี่ แฮมเมอร์ คือเรื่องอะไร?
A: ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ พฤติกรรมที่รุนแรง และรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติ รวมถึงประเด็นเรื่องรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์ครับ แม้จะไม่มีการดำเนินคดี แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออาชีพของเขา
แนะนำภาพยนตร์/ซีรีส์ที่คล้ายกันที่คุณอาจชื่นชอบ
หากคุณชื่นชอบผลงานของอาร์มี่ แฮมเมอร์ หรือภาพยนตร์ที่เขาร่วมแสดง เราขอแนะนำภาพยนตร์/ซีรีส์เหล่านี้ที่อาจถูกใจคุณ:
- The Social Network (2010): หากยังไม่เคยดู ต้องดูเลยครับ เพื่อทำความรู้จักบทบาทที่แจ้งเกิดเขา
- Call Me By Your Name (2017): ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการแสดงของเขาอย่างเต็มที่
- The Man from U.N.C.L.E. (2015): ภาพยนตร์แอ็คชั่นสนุกๆ ที่เขามีเคมีเข้ากันได้ดีกับ Henry Cavill
- The Imitation Game (2014): ภาพยนตร์ชีวประวัติที่คล้ายกับ The Social Network ในแง่ของเรื่องราวอัจฉริยะผู้สร้างนวัตกรรม
- Brokeback Mountain (2005): ภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกที่ได้รับคำชื่นชมอย่างสูง ในแนวทางที่คล้ายกับ Call Me By Your Name ในบางแง่มุม
เรื่องราวของอาร์มี่ แฮมเมอร์ แสดงให้เห็นถึงทั้งความสามารถอันโดดเด่นและมรสุมชีวิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพของคนคนหนึ่งได้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะครับ!คุณมีความเห็นอย่างไรกับเส้นทางอาชีพของอาร์มี่ แฮมเมอร์ และผลงานของเขาบ้างครับ? คอมเมนต์บอกเราได้เลย!
ติดตามข่าวสารและรีวิวภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.movie24hd.com/ และช่อง YouTube ของเรา https://www.youtube.com/@malagorman, https://www.youtube.com/@GreaterThanStudio, https://www.youtube.com/@DooaraiD555
ผลงานภาพยนตร์
ดูหนัง Free Fire (2016) รวมพล รัวไม่ยั้ง
คริสและแฟรงค์สองหนุ่มชาวไอริชได้เดินทางมายังโกดังร้างแห่งหนึ่งที่ พวกเขากับลูกทีมจะทำการนัดซื้ออาวุธสงครามที่พวกเขาได้สั่งซื้อเอาไว้ พวกเขาได้จัสตีน เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับพ่อค้าอาวุธสุดเพี้ยนอย่าง เวอร์นอนและออร์ท แต่ทว่าท่ามกลางการเจรจาซื้อขายปืนอยู่นั้นกับมีบางอย่างผิดพลาดขึ้น มีความขัดแย้งประทุขึ้น จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันปืนเข้าหากันแล้วสาดกระสุนใส่ไม่ยั้งจนตายกันไปข้างในคืนอันหนาวเหน็บในปี 1978 ขณะขับรถไปพบกับ คริสและแฟรงค์ สมาชิก ไออาร์เอ สตีโวบอกเบอร์นีว่าวันก่อนเขาถูกลูกพี่ลูกน้องของผู้หญิงที่เขาทำร้ายทำร้าย กลุ่มคนดังกล่าวพบกันหน้าโกดังในบอสตันกับจัสติน คนกลาง และออร์ด ตัวแทนพาพวกเขาเข้าไปข้างใน กลุ่มคนเหล่านี้มาที่นี่เพื่อซื้อปืนจากเวอร์นอน พ่อค้าอาวุธและผู้ร่วมงานของเขา มาร์ติน แฮร์รี และกอร์ดอน แม้ว่าจะมีความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลุ่มและเวอร์นอนจัดหาปืนไรเฟิลผิดกระบอก แต่ปืนก็ถูกขนออกจากรถตู้และกลุ่มของคริสก็ส่งมอบเงินในกระเป๋าเอกสาร
สตีโว (แซม ไรลีย์) และเบอร์นี (เอ็นโซ ซิเลนติ) กำลังขับรถไปพบสมาชิกไออาร์เอสองคน คือ คริส (ซิลเลียน เมอร์ฟี) และแฟรงค์ (ไมเคิล สไมลีย์) ระหว่างทาง สตีโวบอกเบอร์นีว่าเขาถูกลูกพี่ลูกน้องของผู้หญิงที่เขาล่วงละเมิดทำร้ายเมื่อวันก่อน กลุ่มนี้พบกันนอกโกดังในบอสตัน ซึ่งพวกเขารออยู่กับจัสติน (บรี ลาร์สัน) คนกลาง ตัวแทนมาถึง ออร์ด (อาร์มี แฮมเมอร์) ซึ่งพาพวกเขาเข้าไปข้างใน กลุ่มนี้มาที่นี่เพื่อซื้อปืนจากพ่อค้าอาวุธ เวอร์นอน (ชาร์ลโต คอปลีย์) และเพื่อนร่วมงานของเขา มาร์ติน (บาบู ซีเซย์) แฮร์รี (แจ็ก เรย์เนอร์) และกอร์ดอน (โนอาห์ เทย์เลอร์) แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลุ่ม และความจริงที่ว่าเวอร์นอนจัดหาอาวุธที่ไม่ถูกต้อง กลุ่มของคริสก็ยังเก็บอาวุธไว้ในรถตู้และมอบเงินในกระเป๋าเอกสาร
เรื่องน่ารู้ เบ็น วีทลีย์กล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่เขาตั้งภาพยนตร์เป็นยุค 70 ก็คือเพื่อที่จะได้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ความผิดพลาด ความคิดที่ว่ากระสุนของคริสเองที่เขาใช้ทดลองกับปืนเอ็ม-16 ที่เขาสั่งมาจะใช้ไม่ได้กับปืนเอสซี-70 ที่เวอร์นอนส่งมาให้เป็นเรื่องเท็จ ปืนไรเฟิลทั้งสองกระบอกบรรจุกระสุนนาโต้ขนาด 5.56×45 มม. เหมือนกัน และยิงกระสุนขนาด .223 เรมิงตันด้วย ดังนั้นกระสุนที่คริสนำมาก็ใช้ได้กับปืนไรเฟิลทั้งสองกระบอก คำคม แฮร์รี่:เฮ้ ฉันชอบเกราะกระดาษแข็งของคุณนะ เวอร์นอน: มันเป็นการป้องกันการติดเชื้อ

On the Basis of Sex
ในปี 1956 รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์กเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่โรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ดเมื่อสามีของเธอมาร์ติน กินส์เบิร์กซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอัณฑะเธอเข้าเรียนทั้งชั้นเรียนของเธอและของเขา โดยจดบันทึกและถอดเสียงการบรรยายในขณะที่ดูแลมาร์ตินและเจน ลูกสาววัยทารกของพวกเขา สองปีต่อมา มะเร็งของมาร์ตินหายเป็นปกติ และเขาได้รับการว่าจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งในนิวยอร์กซิตี้ รูธยื่นคำร้องต่อคณบดีกริสวอลด์แห่งโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ดเพื่อให้เธอเรียนจบปริญญาทางกฎหมายของฮาร์วาร์ดโดยเรียนที่โรงเรียนกฎหมาย โคลัมเบีย ในนิวยอร์ก แต่เขายืนกรานที่จะปฏิบัติตาม นโยบาย ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในขณะนั้นและปฏิเสธคำขอของเธอ ดังนั้นเธอจึงย้ายไปโคลัมเบีย แม้จะจบการศึกษาด้วยคะแนนสูงสุดของชั้นเรียน แต่เธอก็ไม่สามารถหางานกับบริษัทกฎหมายได้ เนื่องจากบริษัทที่เธอสมัครไม่มีบริษัทใดต้องการจ้างผู้หญิง เธอรับงานเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนกฎหมายรัตเกอร์สโดยสอนเรื่อง “การเลือกปฏิบัติทางเพศและกฎหมาย”
ในปี 1970 มาร์ตินได้นำคดีMoritz v. Commissionerซึ่งเป็นคดีภาษีมาแจ้งให้รูธทราบ ชาร์ลส์ มอริตซ์เป็นชายชาวเมืองเดนเวอร์ที่ต้องจ้างพยาบาลมาช่วยดูแลแม่ที่อายุมากของเขาเพื่อที่เขาจะได้ทำงานต่อไปได้ มอริตซ์ถูกปฏิเสธการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการดูแลพยาบาลเนื่องจากในขณะนั้น มาตรา 214 ของประมวลรัษฎากรได้จำกัดการหักลดหย่อนไว้เฉพาะ “ผู้หญิง ม่ายหรือหย่าร้าง หรือสามีที่ภรรยาไม่สามารถทำหน้าที่ได้หรืออยู่ในสถานบำบัด” ศาลตัดสินว่ามอริตซ์ซึ่งเป็นชายที่ไม่เคยแต่งงานไม่มีคุณสมบัติในการหักลดหย่อน รูธมองเห็นโอกาสในคดีนี้ที่จะเริ่มต้นท้าทายกฎหมายหลายฉบับที่บังคับใช้มาหลายปี ซึ่งถือว่าผู้ชายจะทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว และผู้หญิงจะอยู่บ้านและดูแลสามีและลูกๆ เธอเชื่อว่าถ้าเธอสามารถกำหนดบรรทัดฐานในการตัดสินว่าผู้ชายถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมบนพื้นฐานของเพศบรรทัดฐานนั้นก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงในกรณีที่ท้าทายกฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงได้ และเธอเชื่อว่าศาลอุทธรณ์ที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาชายเท่านั้นจะสามารถระบุตัวตนกับผู้ร้องชายได้ง่ายกว่า

