ดูหนัง Back to the future 2 (1989) เจาะเวลาหาอดีต 2 เรื่องราวการผจญภัยข้ามเวลา ของ มาร์ตี้ แม็กฟลาย และ ด็อก เอ็มเม็ตต์ บราวน์ โดยคราวนี้ พวกเขาใช้ไทม์แมชชีน ย้อนเวลา ไปในอนาคตจากปี 1985 ไปปี 2015 เพื่อแก้ไขความผิดที่ลูกชายของมาตี้ ก่อเรื่องเอาไว้ แต่แล้วพวกเขาก็ยังต้อง ย้อนกลับไปในอดีตปี 1955 อยู่ดีเพราะ บลีฟศัตรูคนเก่าของตระกูล แม็ก ฟลาย ที่อยู่ในปีอนาคตได้แอบย้อนเวลากลับไป แก้ไขอดีตของตัวเอง จนทำให้เขากลาย เป็นเศรษฐี ทำให้ด็อกเตอร์บราวร์และมาตี้ ต้องย้อนกลับไปปี 1955 อีกครั้งหนึ่งเพื่อ แก้ไขในสิ่งที่บลีฟทำไปทั้งหมดและก็เกิด ความขัดข้องทำให้ด็อกเตอร์บราวร์ต้องไป ติดอยู่ในยุคคาวบอยในปี 1885 ของท้ายเรื่อง
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Michael J. Fox
Christopher Lloyd
Lea Thompson
Tom Wilson
ผู้กำกับ
Robert Zemeckis
รีวิวหนัง Back to the future 2 (1989) ดูหนังออนไลน์
เรื่องราวผจญภัยข้ามเวลาของ มาร์ตี้ แม็กฟลาย และ ด็อก เอ็มเม็ตต์ บราวน์ หลังจากฉากจบภาคแรก รถไทม์แมชชีนถูกทำให้บินได้ และไม่ต้องใช้พลังงานจากพลูโตเนียมแล้ว ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ ขับไทม์แมชชีนมาหามาร์ตี้ด้วยท่าทางเร่งรีบ ด็อก เล่าเรื่องราวให้มาร์ตี้กับเจนนิเฟอร์ฟังว่า มีปัญหาเกิดขึ้นกับลูก ๆ ของมาร์ตี้และเจนนิเฟอร์ในโลกอนาคต ทำให้ทั้งสามคนกำลังจะเดินทางไปโลกอนาคตกัน ฉากจบของภาคแรก คือฉากเปิดเรื่องของภาคสอง ทั้งสามคนข้ามไปยังโลกอนาคตปี 2015 อย่างไรก็ตาม ความน่ามหัศจรรย์ของปี 2015 ยังชวนน่าตื่นเต้น และ Back to the Future ก็ยังคงสร้างความสนุกสนานน่าติดตามได้อีกเช่นเดิม
ความน่าสนใจคือจินตนาการโลกอนาคตของภาพยนตร์เรื่อง มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นได้จริงแล้วในโลกปัจจุบัน พล็อตเรื่องการย้อนเวลาไปโลกอนาคตและย้อนเวลากลับไปอดีต ณ จุดเวลาเดิมอีกครั้ง คือสิ่งใหม่ที่ภาคสองนำมาเล่า เส้นเรื่องที่ตัดสลับในภาคแรก การย้อนกลับไปอดีตอีกครั้ง ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ภาคแรกถือเป็นความท้าทายของคนเขียนบทภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการหยิบเหตุการณ์จากภาพแรกมาเล่าซ้ำ ด้วยรูปแบบเดจาวูที่ทำได้ดีและสามารถใช้วัตถุดิบที่ดีอยู่แล้วมาต่อยอดพล็อตเรื่องเดิมให้มีสีสันมากขึ้น โดนไม่ทิ้งพล็อตเรื่องหลักที่ต้องการเล่า โดยรวมแล้ว Back to the Future Part II ยังคงมอบความสนุกสนานและทิ้งปมปัญหาที่รอการคลี่คลายในภาค 3 ได้น่าติดตาม…
beartai
วันที่ 3 กรกฎาคม ย้อนกลับไปเมื่อ 35 ปีก่อน กลางช่วงเทศกาลซัมเมอร์ของสหรัฐฯ และใกล้กับวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม โปรแกรมหนังที่จะถูกวางไว้ในช่วงวันนี้จะต้องเป็นโปรแกรมทองที่จะเรียกผู้ชมทั้งครอบครัวออกมาชมกันในช่วงวันหยุดยาว และในปีนั้นเองภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยเดินทางย้อนเวลาเรื่องหนึ่งก็ได้เข้าฉายในปีนั้น และกลายเป็นหนังทำเงินระดับปรากฎการณ์ Back to the Future ครองแชมป์อันดันหนึ่งตาราง box office ของสหรัฐฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่เข้าฉายยาวไปจนจบปีใหม่ (ส่งผลให้ในปีนั้นมีหนังที่ครองแชมป์บนตารางหนังทำเงินแค่ 3 เรื่องคือ Ghostbusters (1984) หนังเก่าจากปีก่อน, Rambo: First Blood Part II (1985) และเรื่องนี้
เรื่องราวการสร้าง Back to the Future
Back to the Future เป็นผลงานการอำนวยการสร้างของพ่อมดฮอลลีวูด Steven Spielberg ที่กำลังโด่งดังจากการทำหนัง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) และ Raiders of the Lost Ark (1981) และเป็นผลงานของผู้กำกับ Robert Zemeckis ที่ตอนนั้นยังไม่ได้กำกับหนังหลายเรื่อง มีแค่ Romancing the Stone (1984) นำแสดงโดย Michael Douglas และ Kathleen Turner และ (1980) นำแสดงโดย Kurt Russell พวกเขาทั้งสองร่วมกันสร้างหนังไซไฟผจญภัยเนื้อหาวิทยาศาสตร์ ที่นำแสดงโดยนักแสดงวัยรุ่นที่เล่นหนังมาไม่กี่เรื่องอย่าง Michael J. Fox จาก Class of 1984 (1982) และอีกคนคือ Christopher Lloyd ที่มีผลงานเป็นที่รู้จักในตอนนั้นจาก The Adventures of Buckaroo Banzai Across the 8th Dimension (1984) และ Star Trek III: The Search for Spock (1984)
หนังกลายเป็นความสำเร็จระดับปรากฏการณ์แค่ไหนในเวลานั้น เห็นได้จากการที่หนังใช้ทุนสร้าง 19 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลางไม่มากไม่น้อย เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 11 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้ลากยาวต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไปจบโปรแกรมฉายในสหรัฐฯ ด้วยรายได้รวมสูงถึง 211 ล้านเหรียญฯ และรายรับรวมทั่วโลก 391 ล้านเหรียญฯ แถมหนังยังคว้ารางวัลออสการ์สาขาเอฟเฟกต์ และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม รวมถึงเข้าชิงบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Bob Gale และ Robert Zemeckis), ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยมด้วย ย้ำอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่ผลงานของนักแสดงหรือผู้กำกับดัง ดังนั้นความสำเร็จจึงอยู่ที่พลังการขับเคลื่อนของตัวหนังเองล้วน ๆ
แต่แนวคิดหลักของเรื่องที่ไม่เคยเปลี่ยนสำหรับทีมสร้างทุกคนคือ “กฎการย้อนเวลา” ที่พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราเกิดการไปเปลี่ยนแปลงอดีต ย่อมจะส่งผลต่ออนาคตรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะกับปัจจุบันในปี 1985 ที่ Marty เดินทางจากมา ก็จะกลายเป็นปัจจุบันแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง ทีมเขียนบทอาศัยรถใต้ดินในนิวยอร์กเป็นตัวเปรียบเทียบ ว่าหากเปลี่ยนสาย สถานีปลายทางก็เปลี่ยนไปตาม เช่นเดียวกับความเป็นจริงชุดเก่าซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยชุดใหม่
Spielberg เคยอำนวยการสร้างในผลงานสองเรื่องแรกของผู้กำกับ Robert Zemeckis อย่าง I Wanna Hold Your Hand (1978) กับ Used Cars (1980) แต่ต่อมา Zemeckis เกิดเปลี่ยนใจ กลัวคำครหาว่ามาเกาะบารมีของ Spielberg โดยไม่ได้ใช้ฝีมือของตัวเอง เขาจึงไปพิสูจน์ตัวเองกับหนังตลกผจญภัยอย่าง Romancing the Stone (1984) ซึ่งกลายเป็นความสำเร็จในที่สุด ทำรายได้ไป 76 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 10 ล้านเหรียญฯ จากความสำเร็จครั้งนี้จึงเพิ่มความมั่นใจให้กับ Zemeckis ที่จะกลับไปให้ Spielberg เดินหน้าโพรเจกต์ต่อไป (สุดท้าย Back to the Future ก็เป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับ 3 ของ Zemeckis เป็นรองแค่ Forrest Gump (1994) และ Cast Away (2000))
การถ่ายทำ Back to the Future
การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1984 ทีมงานยกกองกันไปถ่ายในโรงเรียนช่วงปิดเทอม จนกระทั่งสัปดาห์ที่หกนั้นเองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Zemeckis ตัดสินใจเปลี่ยนตัวพระเอกของเรื่องกลางคันจาก Eric Stoltz ที่ดูซีเรียสเกินไปจนหนังขาดความเฮฮา เป็นเหตุให้ทีมงานต้องหาผู้มารับบทเป็น Marty McFly คนใหม่อย่างปัจจุบันทันด่วน และก็บทก็ไปตกอยู่ที่ Michael J. Fox ที่เป็นตัวเลือกสำรองอันดับ 1
พวกเขาต้องถ่ายซ่อมแบบมโหฬาร (ลองดูฉากที่ Stlotz ได้ถ่ายทำเสร็จไปแล้วในคลิปก็ได้) เพื่อทดแทนฉากเปลี่ยนใหม่ให้เป็น Michael J. Fox นำแสดง แล้วคิวของ Fox ที่ติดพันการถ่ายซีรีส์ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มา นักแสดงหนุ่มวัย 23 ยังคงต้องถ่ายซีรีส์ในช่วงกลางวัน และมาเข้ากองถ่ายหนัง Back to the Future ช่วงกลางคืน เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็นลากยาวไปถึงตี 2 ซึ่งต้องบอกเลยว่า การจะได้นักแสดงที่เปี่ยมไปด้วยพลังงาน แรงดีไม่มีตก ที่มาร่วมกับหนังที่ต้องเร่งถ่ายแบบนี้ หาได้ไม่ง่ายนัก