ประวัติ Eddie Murphy เอ็ดดี เมอร์ฟี

Eddie Murphyเอ็ดดี้ เมอร์ฟี: ตำนานตลกผู้พลิกโฉมวงการฮอลลีวูดเอ็ดดี้ เมอร์ฟี (Eddie Murphy) คือหนึ่งในนักแสดงตลกและนักแสดงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วงการบันเทิงสมัยใหม่ ด้วยพรสวรรค์อันล้นเหลือ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ และพลังการแสดงที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรกในวงการ และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่ครองใจผู้ชมมานานหลายทศวรรษ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังชีวิตในวัยเยาว์และก้าวแรกสู่เวทีตลก
เอ็ดเวิร์ด “เอ็ดดี้” เรแกน เมอร์ฟี เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1961 ที่ย่านบุชวิก ในบรุกลิน นครนิวยอร์ก ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อของเขาซึ่งเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบและนักแสดงตลกสมัครเล่น เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ทำให้แม่ของเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูเขาและพี่ชาย (ชาร์ลี เมอร์ฟี ผู้ล่วงลับ ซึ่งต่อมาก็เป็นนักแสดงเช่นกัน)
เมอร์ฟีฉายแววความเป็นนักแสดงตลกตั้งแต่เด็ก เขามักจะเลียนแบบตัวละครต่าง ๆ จากโทรทัศน์เพื่อสร้างความบันเทิงให้คนรอบข้าง เมื่ออายุเพียง 15 ปี เขาเริ่มเขียนบทและแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนตามคลับต่าง ๆ ในนิวยอร์ก โดยใช้ความสามารถในการเลียนเสียงและสร้างสรรค์ตัวละครที่น่าจดจำได้อย่างเฉียบแหลม
แจ้งเกิดอย่างยิ่งใหญ่ใน Saturday Night Live (SNL)
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเอ็ดดี้ เมอร์ฟี เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1980 เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงของรายการโทรทัศน์ชื่อดัง “Saturday Night Live” (SNL) ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขากลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยกอบกู้วิกฤตเรตติ้งของรายการในขณะนั้น
เมอร์ฟีสร้างตัวละครที่กลายเป็นตำนานมากมายบนเวที SNL เช่น กัมบี้ (Gumby) ในเวอร์ชันปากร้าย, มิสเตอร์โรบินสัน (Mister Robinson) ที่ล้อเลียนรายการเด็กชื่อดัง, บัควีท (Buckwheat) ตัวละครจาก “The Little Rascals” และ เวลเว็ต โจนส์ (Velvet Jones) พ่อเล้าสุดฮา ตัวละครเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างเสียงหัวเราะถล่มทลาย แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในการแสดงของเขา และทำให้เขากลายเป็นดาวเด่นของรายการที่ไม่มีใครสามารถทดแทนได้
ราชาแห่งบ็อกซ์ออฟฟิศยุค 80
ขณะที่ยังคงโด่งดังกับ SNL เมอร์ฟีได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์และประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในทันที เขาขึ้นแท่นเป็นพระเอกแถวหน้าและกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ทำรายได้สูงสุดแห่งยุค 80 อย่างรวดเร็ว ผลงานภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาในยุคนี้ ได้แก่:
- 48 Hrs. (1982): ภาพยนตร์แอ็คชั่นคอเมดี้ที่เขาร่วมแสดงกับ นิค โนลเต้ ซึ่งเป็นการเปิดตัวบนจอเงินที่สมบูรณ์แบบ
- Trading Places (1983): ภาพยนตร์ตลกเสียดสีสังคมที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์
- Beverly Hills Cop (1984): บทบาท “แอ็กเซล โฟลีย์” ตำรวจดีทรอยต์สุดกวน กลายเป็นบทบาทไอคอนิกที่คนทั่วโลกจดจำ และส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้มหาศาล กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์คอเมดี้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล
- Coming to America (1988): ภาพยนตร์ที่เขาไม่เพียงแต่แสดงนำ แต่ยังร่วมสร้างสรรค์เรื่องราว โดยรับบทเป็นเจ้าชายอาคีมแห่งซามันดา ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ สแตนด์อัพคอมเมดี้สเปเชียลของเขาอย่าง “Delirious” (1983) และ “Raw” (1987) ก็สร้างปรากฏการณ์และทุบสถิติรายได้ กลายเป็นต้นแบบของสแตนด์อัพคอมเมดี้ยุคใหม่ ด้วยสไตล์ที่จัดจ้าน ตรงไปตรงมา และการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง
ความสำเร็จต่อเนื่องและบทบาทการให้เสียง
ในช่วงทศวรรษที่ 90 และ 2000 เอ็ดดี้ เมอร์ฟี ยังคงมีผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์แนวครอบครัว เช่น The Nutty Professor (1996) ที่เขาแสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพในการแสดง перевоплощаясьเป็นตัวละครหลายบทบาทในเรื่องเดียว และ Dr. Dolittle (1998)
อย่างไรก็ตาม บทบาทที่ทำให้เขาเป็นที่รักของผู้ชมรุ่นใหม่ทั่วโลกคือการให้เสียงพากย์เป็น “ดองกี้” (Donkey) เจ้าลาช่างจ้อผู้ขโมยซีนในแฟรนไชส์แอนิเมชันเรื่องยิ่งใหญ่ “Shrek” (2001-2010) ซึ่งประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 2006 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาครองได้สำเร็จจากบทบาทนักร้องเพลงโซล “เจมส์ ‘ธันเดอร์’ เออร์ลี่” ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง “Dreamgirls” ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความสามารถในด้านการแสดงดราม่าของเขาอีกครั้ง
การกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีและมรดกที่ทิ้งไว้
หลังจากห่างหายจากบทบาทเด่นไปช่วงหนึ่ง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี ได้กลับมาสู่แสงไฟอีกครั้งอย่างสง่างามในภาพยนตร์เรื่อง “Dolemite Is My Name” (2019) ซึ่งเขารับบทเป็น “รูดี้ เรย์ มัวร์” นักแสดงตลกในตำนาน การแสดงของเขาได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกครั้ง
เอ็ดดี้ เมอร์ฟี ไม่ใช่เป็นเพียงนักแสดงตลก แต่เขาคือผู้บุกเบิก คือไอคอนทางวัฒนธรรม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงรุ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วน เขาทลายกำแพงทางเชื้อชาติในฮอลลีวูดและพิสูจน์ให้เห็นว่านักแสดงผิวสีสามารถเป็นดาวเด่นระดับโลกที่ทำรายได้มหาศาลได้ มรดกของเขาจะยังคงอยู่ในเสียงหัวเราะของผู้ชมและผลงานภาพยนตร์อันเป็นที่รักซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป
ผลงานภาพยนตร์
เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงประเภทตลกหรือเพลงยอดเยี่ยมสำหรับการแสดงใน Beverly Hills Cop, Beverly Hills Cop II, Beverly Hills Cop III, Trading Places, และ The Nutty Professor ในปี 2007 เขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากบทนักร้องเพลงโซล เจมส์ “ธันเดอร์” เออร์ลี ในภาพยนตร์เรื่อง Dreamgirlsและยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากรางวัลออสการ์จากบทเดียวกันนี้
Coming 2 America (2021)
เดิมที Paramount Pictures จะออกฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายถูกขายให้กับ Amazon Studios เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 Amazon เผยแพร่ทางดิจิทัลผ่าน Amazon Prime Video เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2021 Coming 2 America ได้รับคำวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดีจากนักวิจารณ์ เช่นเดียวกับภาคก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาแต่งหน้าและทำผมยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94

Trading Places (1983)
พี่น้องแรนดอล์ฟและมอร์ติเมอร์ ดุ๊กเป็นเจ้าของบริษัทนายหน้าซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ Duke & Duke Commodity Brokers ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย พวกเขาได้พบเห็นการพบกันระหว่างหลุยส์ วินธอร์ปที่ 3 กรรมการผู้จัดการของพวกเขา ซึ่งมีมารยาทดีและมีการศึกษา ซึ่งหมั้นหมายกับเพเนโลพี วิเธอร์สปูน หลานสาวของตระกูลดุ๊ก และบิลลี เรย์ วาเลนไทน์ นักต้มตุ๋นผิวสีที่น่าสงสาร วาเลนไทน์ถูกจับกุมตามคำยืนกรานของวินธอร์ป หลังจากที่วินธอร์ปสันนิษฐานว่าเขาถูกปล้น ตระกูลดุ๊กมีมุมมองที่ขัดแย้งกันในประเด็นเรื่องธรรมชาติกับการเลี้ยงดู พวกเขาจึงพนันกันและตกลงที่จะทำการทดลองเพื่อสังเกตผลของการสลับชีวิตของวาเลนไทน์และวินธอร์ป ซึ่งเป็นบุคคล 2 คนที่มีฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน

Coming to America (1988) มาอเมริกาน่าจะดี
ในประเทศซามุนดาที่ร่ำรวยในแอฟริกา มกุฎราชกุมาร Akeem Joffer เริ่มเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิตที่สุขสบายของเขาในวันเกิดอายุครบ 21 ปีของเขา และต้องการทำอะไรเพื่อตัวเองมากกว่านี้ เมื่อพ่อแม่ของเขาคือกษัตริย์ Jaffe และราชินี Aoleon มอบเจ้าสาวที่จัดเตรียมไว้ให้เขา Akeem จึงตัดสินใจลงมือทำ Akeem และ Semmi เพื่อนที่ดีที่สุด/ผู้ช่วยส่วนตัวของเขา ออกเดินทางไปยังเขตควีนส์ของนิวยอร์กซิตี้ และเช่าห้องเช่าทรุดโทรมในย่านลองไอแลนด์ซิตี้ภายใต้หน้ากากของนักเรียนต่างชาติที่ยากจน เพื่อตามหาผู้หญิงที่เป็นอิสระที่รักเขาที่ตัวเขาเอง ไม่ใช่ที่สถานะทางสังคมของเขา

Beverly Hills Cop Axel F (2024) โปลิศจับตำรวจ เอ็กเซล เอฟ
Axel Foley ยังคงเป็นนักสืบตำรวจดีทรอยต์ภายใต้การดูแลของ Jeffrey Friedman เพื่อนของเขา รองหัวหน้าตำรวจ ในการไล่ล่ากลุ่มโจรที่ปล้นห้องแต่งตัวของ Detroit Red Wings ระหว่างเกม การไล่ล่าของ Axel ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเมือง Jeffrey เกษียณอายุเพื่อปกป้อง Axel จากการถูกลงโทษ และสนับสนุนให้ Axel กลับไปติดต่อกับ Jane Saunders ลูกสาวที่แยกทางกันซึ่งเป็นทนายความในลอสแองเจลิส Billy Rosewood ซึ่งทำงานเป็นนักสืบเอกชนหลังจากทะเลาะกับ John Taggart โทรหา Axel เช่นกัน โดยเตือนเขาว่าชีวิตของ Jane ตกอยู่ในอันตราย เขาช่วยเหลือ Jane ในขณะที่เธอเป็นตัวแทนของ Enriquez ซึ่งถูกใส่ร้ายในข้อหาฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ Copeland หลังจากโทรไป Rosewood ก็สามารถกู้หลักฐานจากรถที่ใช้ก่อเหตุฆาตกรรมได้ แต่ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มค้ายา

