ประวัติ Edward Norton เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน

Edward Norton เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน นักแสดงอัจฉริยะผู้ไม่เคยหยุดท้าทายคือหนึ่งในนักแสดงชายที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับมากที่สุดในรุ่นของเขา ด้วยความสามารถในการสวมบทบาทที่ลึกซึ้งและซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง เขาสามารถแปลงร่างเป็นตัวละครได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะเป็นบทบาทที่ต้องใช้ความรุนแรงทางอารมณ์, ความเฉลียวฉลาด, หรือความเปราะบาง ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำในฐานะ “นักแสดงจอมหลักการ” ผู้ทุ่มเทให้กับศิลปะการแสดงอย่างแท้จริง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
ชีวิตวัยเยาว์ การศึกษา และก้าวที่ไม่คาดฝัน เกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1969 ณ เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และเติบโตที่เมืองโคลัมเบีย รัฐแมริแลนด์ เขาเติบโตมาในครอบครัวนักกฎหมายและนักกิจกรรมทางสังคม บิดาของเขาเป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อมและอดีตอัยการของรัฐบาลกลาง ส่วนปู่ของเขาคือ เจมส์ เราส์ (James Rouse) นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักผังเมืองผู้มีชื่อเสียงด้านการช่วยเหลือสังคม นอร์ตันฉายแววความสนใจในการแสดงตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยม เขาได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) และสำเร็จการศึกษาในสาขาประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1991 หลังจากนั้น เขาได้เดินทางไปทำงานที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปมหานครนิวยอร์กเพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว การเปิดตัวที่สะเทือนวงการกับ “Primal Fear” การรอคอยและการทำงานอย่างหนักในละครเวทีนอกบรอดเวย์ได้สิ้นสุดลง เมื่อ เอาชนะนักแสดงหนุ่มกว่า 2,000 คน คว้าบท “แอรอน สแตมป์เลอร์” เด็กหนุ่มผู้ช่วยบาทหลวงที่ถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรม ในภาพยนตร์เรื่อง “Primal Fear” (1996) ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ริชาร์ด เกียร์ การแสดงเปิดตัวของเขาสร้างปรากฏการณ์และสะเทือนวงการฮอลลีวูด เขาสามารถถ่ายทอดบุคลิกที่แตกต่างกันสองขั้วได้อย่างน่าขนลุกและแนบเนียน การแสดงอันน่าทึ่งนี้ส่งให้เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกทันทีจากภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต บทบาทไอคอนิกที่น่าจดจำ หลังจากแจ้งเกิดอย่างงดงาม นอร์ตันได้ตอกย้ำสถานะนักแสดงคุณภาพด้วยบทบาทที่ท้าทายและเป็นที่จดจำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังมีผลงานเด่นอีกมากมาย เช่น “The People vs. Larry Flynt” (1996), “Rounders” (1998), “25th Hour” (2002), “The Illusionist” (2006) และภาพยนตร์ในจักรวาลมาร์เวลอย่าง “The Incredible Hulk” (2008) ที่เขารับบทเป็น บรูซ แบนเนอร์ เบื้องหลังกล้อง: ผู้กำกับและนักเขียนบท นอกเหนือจากงานแสดง ยังมีความสามารถในการทำงานเบื้องหลัง เขาเปิดตัวในฐานะผู้กำกับครั้งแรกกับภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง “Keeping the Faith” (2000) และในปี ค.ศ. 2019 เขาได้สานต่อโปรเจกต์ในฝันที่ใช้เวลาสร้างกว่า 20 ปีกับภาพยนตร์เรื่อง “Motherless Brooklyn” ซึ่งเขาทำหน้าที่ทั้งกำกับ เขียนบท และแสดงนำ นักกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เดินตามรอยครอบครัวในการเป็นนักกิจกรรมตัวยง เขาเป็นทูตสันถวไมตรีของสหประชาชาติเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (UN Goodwill Ambassador for Biodiversity) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง “CrowdRise” แพลตฟอร์มระดมทุนเพื่อการกุศลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาอุทิศตนให้กับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และการพัฒนาชุมชนอย่างจริงจัง คือบทพิสูจน์ของศิลปินที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการท้าทายตัวเองและผู้ชม เขาเลือกรับบทบาทที่ซับซ้อนและมีความหมาย มากกว่าการเป็นเพียงดาราในกระแสหลัก และด้วยความทุ่มเททั้งในและนอกจอ ทำให้เขายังคงเป็นหนึ่งในนักแสดงที่น่าเคารพและทรงคุณค่าที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด และต่อมารับบทในเรื่อง American History X ซึ่งเขาโกนศีรษะเพื่อแสดงเป็นพวกสกินเฮด ถึงแม้จะมีคนพูดถึงเรื่องนี้ไม่ดีแต่เขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 ในฐานะนักแสดงนำ ในปี 1999 เขาได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างมาก เมื่อแสดงนำร่วมกับ แบรด พิตต์ ใน Fight Club และต่อมาเขาเริ่มหันมาทำหน้าที่ผู้กำกับ ใน Keeping the Faith (2000) ซึ่งเขาแสดงนำเองด้วย หลังจากนั้น ร่วมแสดงกับดารารุ่นใหญ่อย่าง โรเบิร์ต เดอนีโร และ มาร์ลอน แบรนโด ใน The Score (2001)รวมถึงได้แสดงเรื่อง 25thhour ในปี2002 ในบทเจ้าพ่อค้ายาเสพติด บรูซ แบนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืด เอาแต่คิดค้นวิธีเยียวยารักษาอารมณ์ ในขณะที่พวกกระหายสงครามไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่อย่างสันติกับ เบตตี้ รอส (ลิฟ ไทเลอร์) หญิงคนรักของเขา ส่วนในโลกที่เต็มไปด้วยแสงสีและความเจริญ ดิ แอ็บโดมิเนชั่น (ทิม ร็อธ) ก็ไล่ล่าคุณหมออัจฉริยะอย่างไม่ลดละ เขานี่แหละคืออสรพิษร้ายตัวฉกาจที่จะต่อกรกับฮัลก์ให้ได้ ศึกระหว่างคู่อริจากหนังสือการ์ตูนประทุขึ้นเมื่อ บรูซ แบนเนอร์ จำเป็นต้องอาศัยพลังยอดมนุษย์ในตัวเข้าช่วยมหานครนิวยอร์กที่ถูกถล่มแหลกลาญ นักวิทยาศาสตร์จะต้องจำใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบเป็น บรูซ แบนเนอร์ หรือจะเป็น ฮัลก์ ยักษ์เขียวตัวประหลาดไปตลอดกาล ในงานเทศกาล Newport Folk Festival เมื่อปีพ.ศ. 2508 บ็อบ ดีแลนในวัยหนุ่มได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการดนตรีโฟล์คด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงของเขาเป็นแนวไฟฟ้าและร็อก ซึ่งถือเป็นเสียงของคนรุ่นใหม่ และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในวงการดนตรีของศตวรรษที่ 20 เป็นหนังสืบสวนที่ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายแบบหนังนักสืบฟิล์มนัวร์ยุค 50-70’s ประเภทเดินเท้าปลอมตัวสวมรอยขุดคุ้ยด้านดำมืดของเมือง เพียงแต่ในเคสนี้ ‘ไลโอเนล’ (Edward Norton) เป็นแค่ลูกมือในสำนักงานนักสืบ ที่บังเอิญหัวหน้าของเขาไปพัวพันต่อรองแบล็กเมล์แลกผลประโยชน์ก้อนใหญ่จากคณะกรรมการนายกเทศมนตรี จนถูกฆ่าปิดปากโดยไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ให้ลูกน้องเลย แถมเขายังเป็นกลุ่มอาการ Tourette Syndrome กล้ามเนื้อกระตุกและอุทานประโยคออกมาโดยควบคุมตัวไม่ได้ แม้จะมีความจำเป็นเลิศก็เถอะ เอาแบบไม่สปอยล์ ความลับเบื้องหลังก็คุ้มค่าจะอดทนรอหนังเฉลยช่วงท้าย ๆ อยู่นะ รู้สึกว่ามันดูเป็นสไตล์แบบหนังนักสืบยุคก่อนดี ไม่ใช่ประเด็นใหญ่โตอลังการแต่เป็นความลับที่ควรปกปิดเอาไว้ เพียงแต่ระหว่างการขุดคุ้ยดันไปเจอเรื่องอื่นสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งอย่างในเคส Motherless Brooklyn มันคือเจ้านายเจอก่อนแล้วเลือกจะเอาไปหาประโยชน์ใส่ตัวจนชีวิตฉิบหาย ส่วนไลโอเนลแค่ต้องการล้างแค้นให้เจ้านายด้วยการขุดคุ้ยจากข้อมูลเท่าที่มี
ผลงานภาพยนตร์
The Incredible Hulk (2008) มนุษย์ตัวเขียวจอมพลัง

A Complete Unknown

Motherless Brooklyn

