ดูหนัง Godzilla (2014) ก็อดซิลล่า มหากาพย์การกำเนิดของก๊อตซิลล่าญี่ปุ่นโดยถูกโตโฮปลุกคืนชีพขึ้น มาอีกครั้ง กับตำนานและการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่จะมาต่อ ต้านสิ่งชั่วร้ายที่ถูกสร้างมาจากนักวิทยาศาสตร์ และกำลังจะคุกคามการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Aaron Taylor-Johnson
Elizabeth Olsen
Bryan Cranston
Ken Watanabe
ผู้กำกับ
Gareth Edwards
รีวิวหนัง Godzilla ก๊อตซิลล่า ดูหนังออนไลน์
Godzilla(2014) เป็นหนังRebootมาจากต้นฉบับของญี่ปุ่นก๊อตซิลล่าในปี1954 ถึงจะเป็นหนังRebootแต่ตัวหนังก็ยังทําเคารพต้นฉบับอยู่ Godzilla(2014)เป็นหนังโทนซีเรียสจริงจรัง แต่ก็ยังมีความสนุก ลุ้นระทึกอยู่ หนังมีการพูดถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้วยในหนัง และยังพูดถึงผลกระทบความร้ายแรงของอาวุธนิวเคลียร์ที่มีต่อโลกอีกด้วย…
หนังสนุก ลุ้นมากจริงๆ แต่เสียดาย พี่ก๊อตจิโผล่มาน้อยไปหน่อย แต่กลับเป็นมูโตที่โผล่มาเยอะกว่าพี่ก๊อตจิอีก ถ้าโผล่มาเยอะกว่านี้คงจะมันส์กว่านี้ และไม่เข้าใจว่าทําไมต้องให้พี่ก๊อตจิไปโผล่ตอนกลางคืน คือตัวก๊อตซิลล่าสีดำ แล้วให้ไปโผล่ตอนกลางคืนอีก เลยทําให้สีกลืนกันเข้าไปใหญ่ จึงทําให้มองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ และแต่ละครั้งที่โผล่มาก็โผล่มาแค่แป๊บเดียวเองง่ะ แล้วสักพักก็ตัดไปที่หน้าคน_*_ แต่ฉากสุดท้ายพีคสุดแล้วที่ Godzilla VS Muto คือสุดยอดมากๆ เป็นที่สุดของที่สุดของเรื่องนี้จริงๆ สะใจมากๆ มันส์
ส่วนเรื่องของบท บทไม่ได้ถึงกับแย่นะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับดีมาก บทอาจจะไม่สมเหตุสมผลบ้าง แต่ก็สามารถจัดการกระจายบทในตัวละครของคนได้ดี แต่พอถึงบทดราม่าก็ทําได้ดีในระดับนึงเลยแหละ แต่เสียดายที่บทของพี่ก๊อตจิโผล่มาน้อยไปหน่อยในหนังเรื่องนี้ แต่กลับเป็นบทของMutoมีมากกว่าก๊อตซิลล่าอี๊กกก แต่หนังก็พูดทรอดแทรกประเด็นของอาวุธนิวเคลียร์ได้ดี ผมว่าบทไปให้นํ้าหนักโฟกัสที่ตัวละครของคนมากเกินไปจนทำให้ก๊อตซิลล่าในภาคนี้ไม่ค่อยโดดเด่นซักเท่าไหร่ คือให้บทพี่ก๊อตจิน้อยเกิน…
ส่วนในเรื่องของนักแสดง Aaron Taylor-Johnson, Elizabeth Olsen (Scarlet Witch ใน Avengers), Bryan Cranston สามารถแสดงได้สมบทบาทนะในหนังเรื่องนี้ แต่คนที่เด่นที่สุดและแสดงดีสุดนั่นก็คือ Bryan Cranston คือโดดเด่นที่สุดแล้วในบรรดานักแสดงทั้งหมด อยากให้ไปโผล่ในหนังสัตว์ประหลาดภาคต่อๆไปอีก และอีกคน Ken Watanabe นักแสดงชาวญี่ปุ่น คนนี้ชอบมากจาก Inception(2010) หนังHollywoodเรื่องไหนที่เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น เขาก็แทบจะโผล่ไปเกือบทุกเรื่อง คนนี้ก็แสดงได้ดีสมบทบาทที่ได้รับ
ในส่วนงานโปรดักชั่น CG อลังการล้านแปดมากกก สุดยอด ตระการตามาก ก๊อตซิลล่าตัวใหญ่มาก ส่วนเรื่องงานภาพเฉยๆ แต่การถ่ายภาพมุมกล้องดีมากหลากหลายดี มีทั้งการแพนกล้องให้เห็นวิวของเมือง ทั้งถ่ายทางไกลให้เห็นตัวก๊อตซิลล่าทําให้รู้สึกลึกลับดี ถ่ายด้านบน ซูมหน้า ถ่ายระยะใกล้ คือหลากหลายมาก ทําให้หนังดูไม่น่าเบื่อ และในส่วนของการตัดต่อ ก็ตัดต่อได้โอเครเลย…
ในเรื่องของเสียงด้านดนตรีประกอบคือดีมากๆ ดนตรีประกอบตื่นเต้นมาก ทําให้เราลุ้นไปกับหนังได้ดียิ่งขึ้น และทําให้หนังไม่น่าเบื่ออีกด้วย และพวกเสียงระเบิด ปืน ก็ทําได้สุดยอดเช่นกัน
ข้อดีของหนัง
- -หนังสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก
- -ฉากแอ็คชั่นมันส์ สนุกมากกก โดยเฉพาะตอนท้ายที่ก๊อตซิลล่ากับMutoสู้กัน
- -โปรดักชั่น CG อลังการ ก๊อตซิลล่าตัวใหญ่มากกก
- -ดนตรีประกอบตื่นเต้น ลุ้นระทึกเข้ากับหนัง เสียงปืน ระเบิด ก็สุดยอด
- -หนังสามารถกระจายบทในตัวละครของคนได้ดี
- -บทดราม่าทําได้ดีในระดับนึง
- -นักแสดงสามารถแสดงได้ดีสมบทบาทในหนัง
- -มุมกล้องและการถ่ายภาพดีและน่าสนใจ มีความหลากหลาย และการตัดต่อจัดว่าดีเลยทีเดียว
- -อยากเห็นตัวละครของคนบางตัวในหนังสัตว์ประหลาดภาคต่อๆไป
- -หนังสามารถเล่าและทรอดแทรกประเด็นของอาวุธนิวเคลียร์และผลกระทบได้ดี
ข้อเสียของหนัง
- -ก๊อตซิลล่าโผล่มาน้อย
- -บทไม่สมเหตุสมผลบ้าง และกระจายบทไปให้ตัวก๊อตซิลล่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- -งานภาพไม่ได้โดดเด่น
- -ภาพมืดไปนิด และGodzilaไปโผล่ตอนกลางคืน มันไปกลืนกับสีผิวของก๊อตซิลล่า
สรุป : ก๊อตซิลล่าเป็นหนังที่สนุก ลุ้น และตื่นเต้นมาก เป็นหนังที่ดูไม่ต้องคิดอะไรเยอะจะEnjoyมาก ใครที่อยากจะดู ก๊อตซิลล่า ให้โผล่มาเยอะๆ รับรองผิดหวัง เพราะโผล่มาน้อยเหลือเกิน เพราะโฟกัสไปที่ตัวละครของคนซะเยอะ แต่โปรดักชั่น CG การถ่ายภาพ อลังการมาก ถ้าใครชอบหนังสัตว์ประหลาดที่ไม่เน้นสัตว์ประหลาด แนะนําให้ดูหนังเรื่องนี้
หนังโปรดของข้าพเจ้า
• Let them fight. โคตรของโคตรอีพิค
• Gareth Edwards เป็นผู้กำกับที่ใช้ทรัพยากรคุ้มค่ามาก เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์การใช้ visual effects ได้อย่างเหมาะสมพอเหมาะพอดี
• ทุกการปรากฎตัวของก๊อดซิลล่าแม่งฮือฮาตื่นตะลึงมาก โคตรน่าสะพรึงกลัวสมกับเป็นโคตรมอนสเตอร์
• มูโต้นี่สุดตีนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
• ต้นเรื่องเอื่อยไปหน่อย แต่ถ้าไม่มีการปูพื้นหนังจะแย่มาก ดังนั้นมีปูพื้นที่มาที่ไปแบบฉบับ 1954 แบบนี้แหละดีแล้ว
• ช่วงกลางเรื่องถึงท้ายเรื่องนี่เหมือนเป็นหนังภัยพิบัติถล่มโลก สมกับที่บอกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้คือตัวแทนของความโหดร้ายจากธรรมชาติ
• ธรรมชาติรักษาสมดุลกันได้ดีมาก
• ชอบการตีความก๊อดซิลล่าจาก villain เป็น anti-hero เพื่อถ่วงดุลธรรมชาติ
• ฉากต่อสู้ของก๊อดซิลล่ากับมูโต้เยี่ยมมาก คือมันให้ลักษณะของสัตว์ป่าปะทะกันสมจริง คือดูแล้วเชื่อว่าสัตว์ประหลาดสู้กันมันควรจะเป็นแบบนี้แหละ!!
• ก๊อดซิลล่ามีเซอไพรส์ชนิดที่ว่าเกือบกรี๊ดคาโรงสองรอบ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด (กรี๊ดย้อนหลัง)
beartai
ท่าทางจะประตูบานใหญ่ที่ตั้งใจเปิดออกสู่ “Monsterverse” ดูจะมีวี่แววไม่ดีเสียแล้ว กับโปรเจกต์สำคัญของค่ายลีเจนดารี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่คาดหวังจะมีจักรวาลเป็นของตัวเอง ด้วยการซื้อสัญญาร่วมกับโตโฮ ค่ายหนังใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของตัวประหลาดยักษ์มากมายในจักรวาลก็อดซิลล่าของเขา ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุค 60s หลังจากปูทางมาตั้งแต่ ก๊อตซิลล่า(2014) ต่อเนื่องมาถึง Kong : Skull Island (2017) แล้วก็ถือโอกาสเปิดตัวเต็ม ๆ ว่านี่คือการเปิดจักรวาลสัตว์ประหลาดยักษ์ ด้วยการดึงเหล่าตัวประหลาดยักษ์ของโตโฮมาโชว์โฉมกันเพียบทั้งก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน แถมยังมีอีกหลายตัวที่มาเดินโชว์โฉมแต่ไม่ได้มีการแนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้ได้รู้จัก
หนังสานต่อเรื่องราวจาก ก๊อตซิลล่า (2014) ตามช่วงเวลาจริง หนังเว้นห่างกัน 5 ปี เหตุการณ์ในหนังก็ห่างกัน 5 ปี หลังจากการปรากฏตัวของ ก็อดซิลล่า วิทยาการขององค์กรโมนาร์ชก็พัฒนาขึ้น สามารถค้นเจออสูรยักษ์ที่หลบซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโลกได้ถึง 17 ตัว และภายในช่วง 5 ปีนี่ ดร.เอ็มม่า ก็สามารถพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถสร้างคลื่นความถี่ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับอสูรยักษ์ได้ เรียกอุปกรณ์นี้ว่า “ออการ์” ในระหว่างที่ใช้ออการ์สื่อสารกับม็อธร่า โจนาห์ อลัน หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายก็มาชิงออการ์และจับตัว ดร.เอ็มมา กับเมดิสัน ลูกสาวไป และใช้ออการ์ในการปลุกอสูรยักษ์ทั่วโลก ทำให้ก็อดซิลล่าต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อกำราบเหล่าอสูรยักษ์ทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ คิงกิโดร่า มังกร 3 หัว คู่ปรับตลอดกาลของก็อดซิลล่า ที่รอบนี้เล่นเอาพี่ก็อดเกือบแย่อยู่หลายครั้ง
หลังจาก ก๊อตซิลล่า (2014)ออกฉาย ก็มีเสียงบ่นจากผู้ชมว่าได้เห็นตัวก็อดซิลล่าน้อยเกินไปไม่จุใจเลย ทางค่ายก็รับฟังเสียงจากผู้ชม มาถึง ก๊อตซิลล่า : King of the Monsters ก็เลยจัดให้แบบสะใจกันไปเลย หนังปูเรื่องเพียงแค่ 10 นาที บรรดาอสูรยักษ์ก็ทยอยกันปรากฏตัว พี่ก็อดก็ออกมาพะบู๊กันตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลย ทำให้บรรยากาศของภาคนี้ดูห่างไกลจาก ก๊อตซิลล่า (2014)ไปมาก แม้นี่คือหนังภาคต่อเนื่องกัน จากภาคที่แล้วเห็นก็อดซิลล่ากันแบบวับ ๆ แวม ๆ มืด ๆ ภาคนี้ก็เลยมายืนจังก้าให้เห็นกันเต็ม ๆ ไป เน้นขายเหล่าอสูรยักษ์ตีกันแบบจริงจัง แม้ว่าในเทรลเลอร์บอกว่าโมนาร์ชค้นพบอสูรยักษ์ทั่วโลก 17 ตัว แต่ก็มีบทบาทจริง ๆ แค่ 4 ตัวหลักคือ ก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน เท่านั้น ที่เหลือก็เดินผ่านกล้องให้เห็นแค่ 2-3 ฉาก
โทนหนังของภาคนี้น่าจะถูกใจผู้ชมในกลุ่มเด็กผู้ชาย ที่ชอบตัวประหลาดยักษ์เสียมากกว่า เพราะบรรยากาศหนังออกไปแนวอุลตร้าแมนมาก จากภาคก่อน ๆ ที่วางบทบาทของก็อดซิลล่าให้เป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ซุกตัวอยู่ใต้ทะเลลึก เพื่อหนีห่างจากมนุษย์โลก ตัวก็อดซิลล่ายังมีความลึกลับน่ากลัวให้สัมผัสได้ ในโทนที่ใกล้เคียงกับบรรดาไดโนเสาร์ในแฟรนไชส์ Jurassic Park ทุกครั้งที่แนะนำไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ก็ต้องลุ้นกับภาพลักษณ์และพิษสงของมัน แต่กับบรรดาอสูรยักษ์ใน ก๊อตซิลล่า: King of the Monsters กลับไม่มีความลึกลับน่ากลัวเหลือให้สัมผัสเลย แต่ละตัวเหมือนสัตว์ประหลาดในหนังอุลตร้าแมนที่ออกมาตบตีกันตุ้บตั้บ แล้วมีท่าไม้ตายด้วยการปล่อยแสง เป็นภาคที่พาเหล่าอสูรยักษ์ยกระดับไปไกลจนไม่คงความเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้เห็นอีกต่อไป ฉากที่บรรดาอสูรยักษ์ตีกันก็พอบันเทิงดี ชอบที่สุดคือฉากโรดันต่อสู้กับเครื่องบินรบเป็นฉากที่ยาวและสนุก
สำหรับหนังในแนวนี้ที่ชื่อเรื่องยังสปอยล์ให้คนดูรู้ผลลัพธ์กันตั้งแต่ชื่อเรื่องว่าใครคือผู้ชนะ ฉะนั้นบทภาพยนตร์คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ว่าจะเล่าเรื่องราวที่คนดูรู้บทลงเอยอยู่แล้ว ให้สนุก ชวนลุ้น น่าติดตามได้อย่างไร ก็ต้องถือว่า ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ยังไม่ใช่ผู้กำกับที่เหมาะสมกับหนัง 200 ล้านเรื่องนี้ และเป็นตัวอย่างด้านลบต่อกระแสความนิยมของค่ายหนังในช่วง 10 – 20 ปีหลังมานี่ ที่ชอบดึงผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จจากหนังเทศกาล หนังฟอร์มเล็กแล้วได้เงิน ให้มากำกับหนังทุนสูงระดับบล็อคบัสเตอร์ ซึ่งหลาย ๆ คนก็ประสบความสำเร็จ ชวนให้ชื่นชมผู้บริหารค่ายที่มีสายตาเฉียบคมและกล้าเสี่ยง ได้ผู้กำกับมือใหม่ไฟแรงมีวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องไปจ่ายผู้กำกับมือเก๋าค่าตัวแพง ๆ ยกตัวอย่างให้เห็นอย่าง สก็อตต์ เดริคสัน จาก sinnister ก็ไปกำกับ doctor Strange , เจมส์ วาน จาก The Conjuring ก็ได้ไปกำกับ Fast 7 , ไรอัน จอห์นสัน จาก Looper ก็ได้ไปกำกับโคตรหนังอย่าง Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi หรือแม้ แต่ แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดจาก ก๊อตซิลล่า (2014) ก็มาจากหนังสายรางวัล Monster (2010) แต่กับ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ผู้กำกับเรื่องนี้ เคยมีผลงานมาแค่ Krampus ,trick ‘r Treat เป็นหนังที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และรางวัล แต่ทางค่ายก็โยนโปรเจกต์ระดับ 200 ล้านให้ทำ ผลก็ออกมาแบบนี้ล่ะครับ
ก๊อตซิลล่า: King of the Monsters เหมาะจูงลูกจูงหลานเข้าไปดูสัตว์ประหลาดยักษ์ตีกัน 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ห้ามคาดหวังความสมเหตุสมผลของเนื้อหา อย่าคิดตามการตัดสินใจของตัวละคร ดูโรงธรรมดาก็พอ ไม่ต้อง 3 มิติ ไม่ได้เพิ่มอรรถรสใด ๆ ให้กับหนังเลย หนังมีฉากหลังเครดิต 1 ตัว ปูทางไป Godzilla vs. Kong ที่วางกำหนดฉายไว้ปีหน้า ถ้าเรื่องนี้ได้ตังค์อ่ะนะ