ดูหนัง Jack the Giant Slayer (2013) แจ็คผู้สยบยักษ์
สงครามสมัยโบราณกาลก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อหนุ่มชาวสวนเปิดประตูระหว่างโลกของเรากับเผ่ายักษ์ที่น่าหวาดกลัวขึ้นโดยบังเอิญ การปลดปล่อยยักษ์มาสู่โลกเป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ พวกยักษ์พยายามกู้ดินแดนที่เคยเสียไป ทำให้พ่อหนุ่มแจ็ค (นิโคลาส เฮาท์) ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อขัดขวางพวกยักษ์ เป็นการต่อสู้เพื่ออาณาจักร ประชาชน และความรักจากเจ้าหญิงผู้กล้าหาญ เขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่านักรบผู้ไม่ยอมถอยหนีที่เขาคิดว่ามีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น … และทำโอกาสนี้ให้เป็นตำนานของตัวเขา
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดงง
นิโคลัส เฮาลต์
เอลินอร์ ทอมลินสัน
สแตนลีย์ ทุชชี
เอียน แม็คเชน
ผู้กำกับ : ไบรอัน ซิงเกอร์
รีวิว
A-Bellamy
[CR] วิจารณ์หนัง Jack the Giant Slayer (2013) /// Bryan Singer /// อเมริกัน
คอนเส็พท์ของหนังพูดถึงเรื่องตำนานของนิทานแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ซึ่งทำให้คน รุ่นเราต้องกลับมานั่งคิดว่า ตำนานเรื่องเล่าหรือนิทานที่ปรากฎต่อสืบมาจนปัจจุบัน สรุปแล้วมันเพียงนิทาน เรื่องเล่า หรือเป็นตำนาน ความแตกต่างของสิ่งที่ผมว่าไว้ นี่เป็นข้อเฉลยได้ว่า ระยะเวลาเนิ่นนานที่เราไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องหรือพบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นั้นเอง มันได้สร้างเรื่องเล่าให้เป็นความจริงได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นในแง่นี้ความจริงกับเรื่องแต่งในอดีตที่ผ่านมา จึงมีคุณค่าเท่ากันคือ มันเป็นเรื่องเล่าที่ผ่านพ้นยุคสมัยเสมอเหมือนกัน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ กับ เรื่องเล่านิทานปรัมปราเท่าที่เราฟังมาตั้งแต่เด็ก อาจมีคุณค่าไม่ต่างกันก็ได้ในสายตาของปุถุชน เพราะมันมีสถานะดำรงอยู่กับคนรุ่นหลังเช่นเรา ในฐานะเรื่องเล่าเทียบเท่ากัน
มาพูดถึงตัวเนื้องานกันบ้าง ตามธรรมเนียมของหนังแนวเรื่องเล่าที่ดัดแปลงมาจากนิทาน ก็มักจะต้องมีฉากการเล่านิทานให้พระเอกฟัง จนเป็นแรงอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาโตมาต้องเผชิญชะตากรรมเฉกเช่นในนิทาน หรือถ้ายังพูดไม่ชัดก็ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้มีหลายอย่างทั้งการดำเนินเรื่องและการจัดวางองค์ประกอบที่มี ความคลิเช่(ความซ้ำซาก) อย่างมาก ยิ่งเฉพาะด้วยกับตำราการทำหนังที่บอกว่าเนื้อเรื่องต้องสมจริง จนคนดูเชื่อ แต่เรื่องนี้คุณสมบัติข้อนี้ยังหละหลวมจนทำให้หนังมันเหนือจริง จนมีลักษณะเป็นเรื่องเล่าของภาพยนตร์อีกทอดหนึ่งทันที
ด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้หนังเข้าใกล้คุณสัมบัติของการเป็นนิทานเหมือนสิ่งที่ดัดแปลงมาอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งในนิทานทั้งหลายที่เราได้รับได้ฟังมาตอนเด็กจะมีลักษณะแก่นแท้อย่างหนึ่งคือต้องเป็นเรื่องที่ดูไม่สมจริง เช่น สัตว์พูดได้ ฯลฯ แต่เรื่องเล่าเหล่านั้นก็ฝังใจเราจนมีลักษณะความเป็นจริงทางจิตใจหรือนามธรรม หรือเราหลงเชื่อว่ามันเป็นจริงไม่ว่าทางใดทางหนึ่งไปแล้วนั่นเอง
หนัง Jack the Giant Slayer นี่เป็นหนังที่อ่อนด้อยแถมยังน่าขบขันในหลายๆส่วน จนทำให้เกือบเป็นหนังตลก ทั้งที่มันไม่ได้ตั้งใจตลก(แม้จะมีฉากที่จงใจ)ก็ตาม พระเอกแจ๊ค(นิโคลัส เฮาล์ท) ถูกออกแบบบุคลิกที่เอนเอียงไปทางตุ้งติ้งหรือพูดได้ว่ามีความเป็นหญิงมาก แล้วสร้างอิซาเบล(Eleanor Tomlinson) ที่ดื้อด้านขัดค้านขบถซึ่งเป็นคุณลักษณะของเพศชายเข้ามาสลับที่กัน ซึ่งน่าสนใจมาก แต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะไม่ได้ถูกขับเน้นสร้างความสำคัญใดๆ เมื่อเรื่องดำเนินไป
อีกจุดหนึ่งที่ควรเอ่ยถึงซึ่งเป็นเรื่องเดิมๆกับภาพยนตร์แนวจักรๆวงศ์ๆอเมริกัน คือเรื่อง สามัญชนคนต่ำต้อยกับกษัตริย์ผู้สูงส่ง และเทพเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งหนังอเมริกันมักจะให้ภาพให้สองขั้วที่ต่างกันเพื่อมาขมวดปมจบด้วยความเท่าเทียมกันซึ่งเป็นอุดมการณ์ชาติของเมกันเอง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ซึ่งทำให้กษัตริย์ดูกิ๊กก๊อก แต่งตัวดูดูลิเก๊ลิเก ไม่มีความภูมิฐานของการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งนี่เป็นการสร้างใหม่เพื่อลบภาพค่านิยมเดิมๆของกษัตริย์ให้ด้อยค่าลง เป็นไปตามทำนองคลองธรรมของอเมริกานั่นเอง แถมยังโยนคุณค่าใหม่ๆ เช่นทำให้กษัตริย์ต้องลดตัวมาร่วมรบข้าศึก (เรื่องนี้สู้พี่ไทยไม่ได้ เพราะตามตำนานกษัตริย์เรารบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารตลอด ไม่เชื่อไปดูพระสุริโยทัย หรือตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้เลย)
ถึงแม้ตัวหนัง Jack the Giant Slayer จะขาดความสมจริง จนดูน่าขบขัน แต่ส่วนที่ดีที่สุดที่พอกล่อมแกล้มความน่าตื่นตาไปได้คือเรื่อง CG และ สเปเชียล เอฟเฟค เพราะถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไป หนังจะถูกลดระดับเป็นหนังเกรดรองไปไม่รู้ตัว แต่ช้าก่อนแม้หนังจะดำเนินเรื่องได้เรื่อยเปื่อย จนน่าอดสูขนาดไหน แต่มันก็ยังมีทีเด็ดทีขาดความสนุกตามสไตล์ให้ได้ติดตาม และช่วงท้ายเรื่องก็มีจังหวะสนุกให้ลุ้นตามได้พอเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งนี่เป็นเพราะโครงสร้างการดำเนินเรื่องที่เป็นสูตรเฉพาะที่ถูกคิดค้นมาแล้วนั่นเอง
หนังตบท้ายด้วยสิ่งที่ผมพูดไปในย่อหน้าแรกนั่นคือ ความเป็นตำนานของเรื่องเล่า ซึ่งตอนท้ายตัดต่อสลับเพื่อให้เห็นสิ่งเดียวกันที่มันถูกพลิกผันไปตามเฉพาะบุคคลจนเสมอเหมือนว่าเรื่องเล่านั้นมันได้สร้างชีวิตหรือมีชีวิตของตัวมันเองขึ้นมา เช่นกันหนังเรื่องนี้ก็ได้พยายามเป็นหนึ่งที่ต้องการนำเรื่องเล่าไม่รู้จบมาต่อยอดเพื่อสร้างตำนานให้คงอยู่ต่อไป
นี่จึงเป็นหนังตำนานของแจ๊คผู้มีถั่ว ที่ตลก บันเทิง และสนุก โดยเฉพาะการออกแบบน่าตาของยักษ์แต่ละตน รวมถึงยักษ์2หัวซึ่งจดจำและมีเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี แม้มันจะขาดๆเกินๆ ไม่คุ้มทุนสร้าง 195 ล้านดอลลาร์ เลยก็ตาม
คะแนน 6.5/10
IMAX CLUB Thailand
รีวิว Jack the Giant Slayer แจ็คผู้สยบยักษ์ แอดมินไปดูมาที่ ไอแมกซ์ รัชโยธิน รอบ 13:00 น. คนเยอะพอสมควรรอบนี้ ตัวหนังสัดส่วนมาที่ 2.35:1 ครับ เนื้อเรื่องหนังเป็นแนวผจญภัย แฟนตาซี แฝงมุขตลกเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะตอนจบ (นางเอกสวยน่ารักมากเลยอิอิ) ภาพ 3D ใช้ได้ครับ มีส่วนที่พุ่ง และลึกอยู่ ไม่แบนราบ เสียงเรื่องนี้ก็จัดเต็มเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงตอนถั่วงอกเป็นต้น ยักษ์เดินและอีกหลายๆ ฉาก (แต่ไม่แน่นเท่า Die Hard 5) เพื่อนๆ สอบเสร็จปิดเทอมแล้วไปดูกันสบายๆ คลายเครียดกันได้ นะครับ
เกรียนหนัง
##REVIEW##
Jack the Giant Slayer (2013)
: แจ็คผู้สยบยักษ์
ไม่แน่ใจว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของฮอลลีวู้ดไปแล้วหรืออย่างไรกับการเอาเรื่องเล่า หรือเทพนิยายสำหรับเด็ก มาตีความใหม่ ปีที่ผ่านมา เราก็ได้ดู Snow White ไปแล้วถึง 2 เวอร์ชั่น และก่อนหน้านี้ไม่นานก็มี Hansel & Gretel และคราวนี้ก็ถึงคิวของ Jack the Giant Slayer
หนังเป็นผลงานของผู้กำกับฝีมือดีอย่าง ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่เคยดังมาจากหนังอินดี้เล็กๆ แต่เจ๋งอย่าง The Usual Suspects (1995) และกลายมาเป็นผู้กำกับเบอร์ใหญ่จาก X-Men ก่อนจะเสียฟอร์มไปกับการเอาซูเปอร์แมนมารีเมคใหม่ ซึ่งแป๊กสนิท จนต้องพักจากการทำหนังแฟนตาซีบันเทิงๆ ไปทำหนังซีเรียสอย่าง Valkyrie (2008)
การกลับมาหาหนังบันเทิงฟอร์มยักษ์ (ยักษ์จริงๆ) ในรอบ 5 ปีครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่เฮียไบรอัน จะเน้นที่การขายความบันเทิงแบบเต็มๆ และตรงไปตรงมา
หนังเอาเรื่องของ “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” แบบที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันดีมาเล่าใหม่ โดยรักษาโครงเรื่องหลักๆ เอาไว้ แล้วใส่รายละเอียดย่อยเข้าไปจนกลายเป็นหนังอีพิคแอ็คชั่นผจญภัย ซึ่งเริ่มเรื่องด้วยการเกริ่นถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ยักษ์ถูกสยบลง โดยที่พวกมันถูกกังขังไว้บนดินแดนสูงลิบเหนือฟากฟ้า ตัดขาดจากโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน กระทั่งความเชื่อเรื่องการมีตัวตนของยักษ์ได้กลายเป็นแค่ตำนานเรื่องเล่า
แต่วันดีคืนดี แจ็ค (นิโคลัส โฮลท์) หนุ่มชาวนาที่บังเอิญได้ถูกมอบหมายให้เก็บรักษาถั่ววิเศษ ได้ทำถั่วเหล่านี้ตกโดนน้ำ จนเติบโตเป็นต้นถั่วขนาดมหึมาที่หอบเอาบ้านของแจ็ค พร้อมๆ กับเจ้าหญิงอิสซาเบลลาขึ้นไปสู่เบื้องบน ซึ่งต้นถั่วเหล่านี้หาใช่เป็นเส้นทางขึ้นไปสู่ดินแดนของพวกยักษ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางให้ยักษ์ได้กลับลงมาชำระแค้นกับมนุษย์อีกด้วย
หนังยาวเกือบๆ 2 ชั่วโมงเต็ม แต่เดินเรื่องได้กระชับ รวดเร็ว ไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อหน่าย ขายอารมณ์ขันเล็กๆ จากสถานการณ์ และแคเร็คเตอร์ยักษ์ แต่บทหนังก็ไม่ได้ส่งให้นักแสดงคนใดโดดเด่นเป็นพิเศษ ที่พอจะเรียกว่าเป็นไฮไลต์ขึ้นมาก็คงเป็น ยวน แม็คเกรเกอร์ ในบทผู้รักษาการณ์พระราชวัง และ นิโคลัส โฮลท์ ที่สลัดคราบซอมบี้ที่รักมารับบท แจ็ค ด้วยหน้าตาที่ใสปิ๊ง
ขณะที่ฉากแอ็คชั่นในช่วงไคลแม็กซ์ จากการโรมรันระหว่างคนกับยักษ์ ทำออกมาได้น่าตื่นตาระดับเดียวกับ The Lord of the Rings และ The Hobbit อาจจะไม่ใหญ่และละเอียดเท่า แต่ถือว่าได้ว่าอยู่ในข่ายอลังการงานสร้าง และได้ใจคอแอ็คชั่นแฟนตาซี (ซึ่งหนังก็ไปถ่ายฉากพวกนี้ที่นิวซีแลนด์ โดยทีมงานของ ปีเตอร์ แจ็คสัน นั่นแหละ)
ส่วนเทคนิค 3 มิติ ของหนัง หลักๆ แล้วเป็นการแยกเลเยอร์ออกมาให้เห็นความชัด-ลึกของระยะภาพออกเป็นชั้นๆ เท่านั้น แค่พอเป็นนำจิ้มเพิ่มความสนุกขึ้นมาได้อีกนิด กับหนังมาตรฐานฮอลลีวู้ดที่เป็นความบันเทิงฉบับครอบครัว ที่ไม่อ่อนด้อยสำหรับผู้ใหญ่ และไม่รุนแรงเกินไปสำหรับเด็ก
คะแนน : สามดาวจ้า
(หนังเข้าฉายแล้ว!! ใครติดใจพี่ นิโคลัส โฮลท์ จาก ซอมบี้ที่รัก โปรดตามมาดูในเรื่องนี้อีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งคราวนี้มาแบบใสปิ๊งๆ ขอบอก)