อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
จากความยากลำบากสู่เวทีสแตนด์อัพคอมเมดี้
เจมส์ ยูจีน แคร์รีย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1962 ที่เมืองนิวมาร์เก็ต รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนถึงขั้นต้องอาศัยอยู่ในรถตู้และทำงานเป็นภารโรงเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ในความมืดมิดนั้นเองที่พรสวรรค์ของ เริ่มฉายแสง เขาใช้ความตลกเป็นเครื่องมือในการเยียวยาและสร้างกำลังใจให้แม่ที่กำลังป่วยหนัก
เมื่ออายุ 15 ปี เขาได้ขึ้นแสดงสแตนด์อัพคอมเมดี้เป็นครั้งแรก และแม้จะล้มเหลวในตอนแรก แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ มุ่งมั่นพัฒนาฝีมือจนกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงตลกของโตรอนโต ก่อนจะย้ายไปลอสแอนเจลิสเพื่อไล่ตามความฝันที่ใหญ่กว่า
ปี 1994: ปรากฏการณ์ “จิม แคร์รีย์” ที่สั่นสะเทือนฮอลลีวูด
หลังจากสร้างชื่อจากรายการทีวี “In Living Color” ประตูสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ของ ก็เปิดออกอย่างเป็นทางการในปี 1994 ซึ่งเป็นปีที่โลกต้องจารึก เมื่อเขาปล่อยภาพยนตร์คอมเมดี้สุดฮิตถึง 3 เรื่องในปีเดียว:
Ace Ventura: Pet Detective (นักสืบซูเปอร์เก๊ก): บทบาทนักสืบสัตว์เลี้ยงสุดเพี้ยนที่ทำให้ทุกคนรู้จักสไตล์การแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
The Mask (หน้ากากเทวดา): ภาพยนตร์ที่ผสานความตลกเข้ากับสเปเชียลเอฟเฟกต์ได้อย่างลงตัว และใบหน้าสุดฮาของเขาก็กลายเป็นภาพจำไปทั่วโลก
Dumb and Dumber (ใครว่าเราแกล้งโง่…วะ): การจับคู่กับ เจฟฟ์ แดเนียลส์ ที่สร้างเสียงหัวเราะถล่มทลายและกลายเป็นหนังตลกคลาสสิกในเวลาต่อมา
ความสำเร็จของทั้งสามเรื่องทำให้ กลายเป็นนักแสดงตลกค่าตัวแพงที่สุดในฮอลลีวูดแทบจะในทันที
ก้าวข้ามภาพลักษณ์ตลก สู่การแสดงระดับรางวัล
แม้จะโด่งดังสุดขีดจากบทบาทคอมเมดี้ แต่ กลับไม่ต้องการให้ใครมาตีกรอบความสามารถของเขา เขาเริ่มท้าทายตัวเองด้วยการรับบทบาทที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยมิติทางอารมณ์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการแสดงอันน่าทึ่งที่ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์และสถาบันรางวัล:
The Truman Show (1998): ในบท “ทรูแมน เบอร์แบงก์” ชายผู้ค้นพบว่าทั้งชีวิตของเขาคือรายการเรียลลิตี้โชว์ การแสดงที่ผสมผสานความไร้เดียงสาและความเจ็บปวดได้อย่างลงตัวนี้ ส่งให้เขาคว้ารางวัล ลูกโลกทองคำ (Golden Globe) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า มาครอง
Man on the Moon (1999): การสวมบทบาทเป็น แอนดี้ คอฟแมน นักแสดงตลกผู้ล่วงลับได้อย่างสมจริงจนน่าขนลุก ทำให้เขาคว้ารางวัล ลูกโลกทองคำ ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก ได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004): ภาพยนตร์รัก-ไซไฟในใจของใครหลายคน ที่ ได้แสดงด้านที่เปราะบางและน่าเห็นใจในบท “โจเอล แบร์ริช” ซึ่งหลายคนยกให้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
เบื้องหลังรอยยิ้ม: การต่อสู้และศิลปะ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า ของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับหลายคนที่เห็นเขาเป็นสัญลักษณ์ของความสุข เขาเลือกที่จะใช้ศิลปะและการวาดภาพเป็นเครื่องมือในการบำบัดและแสดงออกถึงความรู้สึกภายใน จนกลายเป็นศิลปินฝีมือดีอีกหนึ่งแขนง
ภาพยนตร์/นักแสดงที่คุณอาจชื่นชอบ
หากคุณเป็นแฟนตัวยงของนักแสดงที่สามารถมอบทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาได้ในคนๆ เดียว เราขอแนะนำ:
โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams): อีกหนึ่งตำนานนักแสดงตลกผู้ล่วงลับที่มีผลงานดราม่าชั้นครูอย่าง “Good Will Hunting” และ “Dead Poets Society”
อดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler): แม้จะขึ้นชื่อเรื่องหนังตลก แต่เขาก็มีผลงานดราม่าที่น่าทึ่งอย่าง “Uncut Gems”
ภาพยนตร์แนะนำ: “Liar Liar” (1997), “Bruce Almighty” (2003), “Yes Man” (2008)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: จริงหรือไม่ที่ เคยเขียนเช็คมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ให้ตัวเองก่อนจะดัง?
A: เป็นเรื่องจริงครับ ในช่วงที่ยังเป็นนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียง เขาได้เขียนเช็คสั่งจ่ายให้ตัวเองเป็นเงิน 10 ล้านดอลลาร์สำหรับ “ค่าบริการทางการแสดง” และลงวันที่ไว้ในอีก 10 ปีข้างหน้า และน่าทึ่งที่เขาสามารถทำเงินได้ตามจำนวนนั้นจริงๆ ในช่วงเวลานั้นพอดีจากเรื่อง “Dumb and Dumber”
Q: จิม แคร์รีย์ ประกาศวางมือจากการแสดงแล้วใช่ไหม?
A: ในช่วงโปรโมทภาพยนตร์ “Sonic the Hedgehog 2” (2022) เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขากำลังคิดที่จะวางมือจากการแสดงอย่างจริงจัง โดยให้เหตุผลว่าเขารู้สึกว่า “ทำมามากพอแล้ว” และอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเปิดช่องไว้ว่าอาจกลับมาหากมีบทที่สำคัญจริงๆ
Q: นอกจากงานแสดงและศิลปะ เขาสนใจเรื่องอะไรอีกบ้าง?
A: สนใจในเรื่องปรัชญาและจิตวิญญาณอย่างมาก เขามักจะพูดถึงการปล่อยวางตัวตนและการค้นหาความสงบภายใน ซึ่งสะท้อนผ่านงานศิลปะและมุมมองการใช้ชีวิตของเขาในช่วงหลัง
ไม่ใช่เป็นเพียงนักแสดงตลก แต่เขาคือศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ร่างกายและจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์ผลงาน เขาคือบทพิสูจน์ว่าบุคคลที่มอบความสุขให้ผู้อื่นได้มากที่สุด อาจเป็นคนคนเดียวกับที่เข้าใจความเจ็บปวดได้ลึกซึ้งที่สุดเช่นกัน และไม่ว่าเขาจะตัดสินใจกลับมามอบเสียงหัวเราะให้เราอีกหรือไม่ ตำนานของเขาจะยังคงอยู่ในใจผู้ชมตลอดไป ติดตามบทความดีๆ และรีวิวภาพยนตร์ได้ใหม่ที่ Movie24HD ครับ!
ผลงานภาพยนตร์
ดูหนัง The Number 23 (2007) รหัสหลอนช็อคโลก
วอลเตอร์ สแปร์โรว์ ได้อ่านนิยายที่ชื่อว่า ซึ่งนิยายเล่มนี้มันมีหลายสิ่งที่พ้องกับชีวิตของเขา และยังทำให้เขาตระหนักว่าเลข มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตเขาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาหมกมุ่นในเลข มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งพยายามหาคำตอบว่าใครคือคนที่เขียนนิยายเล่มนี้ และมันมีความลับอะไรซ่อนเร้นอยู่กันแน่ในวันเกิดของวอลเตอร์ สแปร์โรว์ (3 กุมภาพันธ์) อากาธา ภรรยาของเขามอบหนังสือ ของ Topsy Kretts ให้เขาเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด วอลเตอร์เริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้และสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างตัวเขาเองกับตัวละครหลัก นักสืบ ” ฟิงเกอร์ลิง ” ฟิงเกอร์ลิงหลงใหลในปริศนาเลข 23ซึ่งเป็นความคิดที่ว่าเหตุการณ์และเหตุการณ์ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับเลข 23 วอลเตอร์เองก็หลงใหลในตัวเลขนี้เช่นกัน และพยายามเปิดเผยความลึกลับของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เขาไม่พบข้อมูลใดๆ เลย โรบิน ลูกชายของวอลเตอร์ก็สนใจปริศนานี้เช่นกัน แต่อากาธาปัดมันทิ้งไปโดยคิดว่าเป็นความเชื่อโชคลาง
วอลเตอร์ สแปร์โรว์ (จิม แคร์รี่) เป็นผู้ชายครอบครัวที่แต่งงานกับอากาธา สแปร์โรว์ (เวอร์จิเนีย แมดเซน) และทำงานจับสุนัขในกรมควบคุมสัตว์ และมีลูกชายวัยรุ่นที่สนิทสนมกับภรรยาและตัวเขาเอง ในวันเกิดของเขา เขาถูกสุนัขกัดและมาพบอากาธาช้า ในขณะที่รอเขา อากาธาซื้อหนังสือแนวสืบสวนที่มีนวนิยายเกี่ยวกับปริศนาเกี่ยวกับเลข ในร้านหนังสือเป็นของขวัญให้กับวอลเธอร์ เขาหลงใหลในเรื่องราวและหมกมุ่นอยู่กับเลข 23 พบว่ามีความบังเอิญหลายอย่างในชีวิตของเขาเอง และเขาตัดสินใจที่จะตามหาผู้เขียน โดยเชื่อว่าเรื่องราวนี้เกี่ยวกับตัวเขา การสืบสวนเพิ่มเติมของเขาเผยให้เห็นสถานการณ์ลึกลับที่ทำให้วอลเธอร์หวาดระแวง
ที่มืดมิดเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับความหมกมุ่น หวาดระแวง และการไถ่บาป เรื่องราวและตัวละครได้รับการพัฒนามาอย่างดี จุดพลิกผันในตอนท้ายนั้นคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง และภาพยนตร์เรื่องนี้มีการถ่ายภาพและการแก้ไขที่มีสไตล์ โดยใช้สีเข้มอย่างเข้มข้น มีฉากที่น่าทึ่งมากมาย เช่น ตอนที่เด็กชายพบกับหญิงม่ายที่เสียชีวิตบนเตียงของเธอ หรือตอนที่ฟิงเกอร์ลิ่งพบกับสาวผมบลอนด์ผู้ฆ่าตัวตาย เล่นได้สมบูรณ์แบบ ส่วนเวอร์จิเนีย แมดเซนยังคงเป็นผู้หญิงที่สวยและเซ็กซี่มาก และแสดงได้ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะมีบทสรุปที่เน้นเรื่องคุณธรรม แต่ก็ได้ผลและทิ้งข้อความอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับความยุติธรรมและมาตรฐานทางศีลธรรมที่แทบจะถูกลืมไปแล้วในปัจจุบัน ฉันโหวตให้แปดชื่อเรื่อง (บราซิล)
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)
โจเอล บาริช ค้นพบว่าคลีเมนไทน์ ครูซินสกี้ แฟนสาวที่แยกทางกันไปแล้วของเขา ได้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้บริษัท Lacuna ในนิวยอร์กซิตี้ลบความทรงจำของเธอที่มีต่อเขาออกไป เขาเสียใจและตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเช่นเดียวกัน ในการเตรียมการ เขาได้บันทึกเทปเล่าความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนของพวกเขา
BRUCE ALMIGHTY (2003) 7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า
7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า (อังกฤษ: Bruce Almighty) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2003 กำกับโดย Tom Shadyac เขียนโดย Steve Koren, Mark O’Keefe และ Steve Oedekerk พร้อมกับ รับบทเป็นบรูซ โนแลนด์ คนประกาศข่าวในโทรทัศน์ไปบอกพระเจ้า (มอร์แกน ฟรีแมน) ว่าทำงานนี้ไม่ดี และเขาขอเป็นพระเจ้าเองเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
“ทาเด็ค” เป็นนักสืบที่รับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่ที่เขาและคนอื่น ๆ ต้องประหลาดใจมากก็คือ เรื่องราวมันเหมือนกับเรื่องในนิยายฆาตกรรมของนักเขียนคนหนึ่งที่ชื่อ “คอซโลว์” ขณะที่คดีนี้น่าจะเปิดและปิดได้ง่าย ๆ เหมือนคดีทั่ว ๆ ไป ทาเด็คดูเหมือนจะสืบพบเรื่องในมุมมืดของคดีนี้ขึ้นมา นั่นเป็นเหมือนชนวนที่ทำให้ทาเด็คดำดิ่งสู่อีกโลกที่มืดบอด และทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล