ดูหนัง King Naresuan 5 (2014) ตํานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ยุทธหัตถี
ข่าวการผลัดแผ่นดินของอยุธยารู้ไปถึงพระเจ้านันทบุเรง พระองค์สำคัญว่าอาณาจักรสยามจะไม่เป็นปกติสุขเป็นช่องชวนชิงเชิงจึงให้มังสามเกียดอุปราชเจ้าวังหน้ากรีฑาทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาอีก ข้างสมเด็จพระนเรศฯทรงโปรดให้พระราชมนูเป็นทัพหน้าขึ้นไปดูกำลังข้าศึกถึงหนองสาหร่าย ทัพหน้าพระราชมนูปะทะเข้ากับทัพพม่า แต่กำลังข้างพระราชมนูน้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยลงมา สมเด็จพระนเรศฯทราบความจึงออกอุบายให้ทัพข้าศึกไล่เตลิดลงมาจนเสียกระบวนแล้วจึงทรงนำกำลังออกยอทัพข้าศึก ครั้งนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศฯ นามเจ้าพระยาไชยานุภาพ และช้างทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถคือเจ้าพระยาปราบไตรจักรต่างตกน้ำมัน วิ่งร่าเบกพลฝ่าเข้าไปในทัพพม่ารามัญกลางวงล้อมข้าศึกและหยุดอยู่หน้าช้างพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศฯ จึงประกาศท้าพระมหาอุปราชแห่งหงสาให้ออกกระทำยุทธหัตถีเป็นพระเกียรติยศแก่แผ่นดิน ด้วยขัตติยมานะพระมหาอุปราชาก็ไสพระคชาธารออกทำคชยุทธด้วยสมเด็จพระนเรศฯ ขณะที่มังจาปะโร พระพี่เลี้ยงองค์สมเด็จพระมหาอุปราชได้ออกทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระเอกาทศรถสัประยุทธ์กันเป็นสองคู่ สู่มหาศึกคชยุทธ์ที่มีแผ่นดินเป็นเดิมพัน
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
วันชนะ สวัสดี
ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
นพชัย ชัยนาม
ผู้กำกับ : หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
รีวิว King Naresuan 5 (2014) ตํานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ยุทธหัตถี
Penedge เพ็นเอจ
เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีคนรอกันมากที่สุด และใช้เวลาตำมานานมากที่สุดเรื่องหนึ่งจากโปรเจคที่ท่านมุ้ยเคยบอกไว้ว่า 3 ภาคจบ กลายเป็น 4 ภาค และขยายยาวมาจนถึงภาคที่ 5 อย่างที่ได้เห็นกันในวันนี้สำหรับภาคนี้ ว่ากันว่าเป็นภาคสุดท้ายแล้ว (ตามถ้อยแถลงจากปากท่านมุ้ยเอง… แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้…) โดยเป็นการปิดปมเรื่องซึ่งค้างคาไว้จากในภาค 4 และดำเนินประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญที่สุดของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเป็นวีรกรรมอันกล้าหาญ และยิ่งใหญ่ – การทำศึก “ยุทธหัตถี” นั่นเอง
ขอออกปากไว้ก่อนว่า ผมเป็นแฟนหนังเรื่องพระนเรศวรคนหนึ่งเหมือนกัน และตั้งความหวังไว้มาก และคอยดูเรื่องนี้มาตลอด
วันนี้ในที่สุดภาคสุดท้ายก็ออกมาให้ยลโฉมกันแล้ว ผมจึงอยากมารีวิวถึงความรู้สึกหลังดูภาคนี้ให้เพื่อน ๆ อ่านกันซักหน่อยครับ
——– จากนี้ไป จะมี “สปอยล์โหด” ล่ะนะครับ ————
การสร้างเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรขึ้นนั้น คาดว่าเกิดจากความต้องการเล่าขานถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้กับคนไทย และชาวต่างชาติได้รู้จักกันในรูปแบบของภาพยนตร์ และที่แน่นอนก็คือ การแฝงจุดประสงค์เพื่อให้เกิดกระแส “ความรักชาติ” ขึ้น หลังดูเรื่องนี้จบ
ในภาคที่ 5 นี้ ถือว่าทำออกมาตามจุดประสงค์ทั้ง 2 ข้อนี้ได้ไม่ดีนัก
เนื่องจากเหมือนพยายามรีบ ๆ เดินเรื่องให้เข้าสู่การทำยุทธหัตถี ทำให้บางส่วนที่ควรขยายความกลับไม่มี แต่ดันไปเน้นถึงเรื่องของเจ้าบุญทิ้งกับเลอขิ่นเมียรักแทน (อีกแล้ว)
ในเรื่อง ส่วนที่ผมขัดใจที่สุดคือ การสื่ออารมณ์ออกมาได้ไม่สุดเลยสักฉาก
เช่น ฉากที่พระมหาอุปราชาได้รับคำเตือนจากโหราธิบดีว่าไม่ควรออกเล่นศึกในช่วงกาลนี้ พระมหาอุปราชาเมื่อได้ยินก็นิ่งงันไป ทำให้เราเริ่มรู้สึกคล้อยตามแล้วว่า “มันอันตรายมาก
นะ อย่าออกไปรบเลย” และทันทีที่ได้รับคำทำนายเช่นนั้น พระมหาอุปราชาหันไปมองหน้าเพื่อนเหมือนต้องการขอความเห็น แล้ววินาทีต่อมา!!! ตัดไปฉากอื่นแทน…
ผมแทบยกมือขึ้นกุมขมับ สรุปว่าแล้วยังไง? ให้รู้แค่ว่าโหรทักห้ามรบ ส่วนพวกเราเหล่าคนดูไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครก็ได้หยั่งงั้นหรือ? และยังมีฉากประมาณนี้อีกหลายครั้งที่ถูกตัด จนไม่เหลืออารมณ์ร่วมกับฉากนั้น ๆ หลงเหลืออยู่เลย
ต่อมาเป็นฉากเลิฟซีนระหว่างพระนเรศ กับมณีจันทร์ ผมพอจะเข้าใจครับว่า ตามจารีตอันดีของไทยนั้นก็มิบังควรจะเสนอภาพหรือฉากเลิฟซีนขององค์กษัตริย์ให้มากนัก แต่การทำฉากเลิฟซีนแบบนี้แล้ว…
ผมว่าไอ้แทนที่จะได้ฉาก “เลิฟซีน” ดี ๆ สักฉาก กลายเป็นได้ฉาก “เลิฟซุง” มาแทนซะได้ จนเรียกได้ว่า ฉากที่มังสามเกียดอุ้มพ่อขึ้นเตียง ยังเรียกความประทับใจได้มากกว่าซะอีก!!
หรืออย่างฉาก “ชนช้าง” ในศึกยุทธหัตถีอันเป็นซีนสำคัญ ก็ทำออกมาได้ไม่สุดอย่างที่หลาย ๆ คนเอามาเล่าให้ผมฟัง เพื่อนผมคนหนึ่งได้รีวิวเอาไว้ว่า “อยากดูฉากชนช้าง แบบชนช้างจริง ๆ ไม่ใช่เอาช้างมาพาดงวงกัน แล้วฟันกันโช้งเช้ง… ถ้าจะชนช้างแบบนี้ ไปดูก้านกล้วย หรือการแสดงช้างที่สวนสามพรานยังจะมันส์ซะกว่า…”
พอผมได้ดู ก็รู้สึกว่า… อืม… จริงด้วยแฮะ ถ้าจะฟันกันโช้งเช้งขนาดนี้ ลงจากคอช้างมาฟันกันให้ตายไปข้าง ยังน่าจะยังมันส์กว่าซะอีก…
การชนช้างมันต้องคึกคะนองสิ!! มันต้องชนกันสะบัดงวง สะบัดงาสิ!! ไม่ใช่เอางวงกอดก่ายกันแบบ “เรารักกันน้าาา” แล้วให้คนบนหลังช้างมานั่งโช้งเช้งกันเหมือนเด็กเล่นฟันดาบ
ส่วนอีกฉากหนึ่งที่เล่นเอาผมถึงกับกุมขมับ คือฉากสุดท้ายที่มีทหารนายหนึ่งขี่ม้ามาพบพระราชมนูนอนสลบอยู่ข้างศพเลอขิ่น
พอพระราชมนูฟื้นขึ้นมาเห็นเลอขิ่นสิ้นใจ ร่างปักเต็มไปด้วยลูกธนู ก็ร่ำไห้ ร้องบอกให้ทหารนายนั้นช่วยดึงธนูออกที…
ปรากฏหมอนี่ยืนเฉ๊ย… แถมหันหน้าไปมองพระอาทิตย์แบบอารมณ์ว่า “อาห์… พระอาทิตย์ตกสวยจังน้าาา” ปล่อยให้ตาพระราชมนูร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงนั้นคนเดียว…
แทนที่จะได้ฉากสุดสะเทือนใจ… เลยกลายเป็นได้ฉากฮาน้ำตาแตกกันทั้งโรงแทน…
ผมว่าฉากนี้มันไม่เข้าเลยซักนิด ทหารนั่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ให้พระราชมนูฟื้นขึ้นมาเจอเลอขิ่นเอง ฟูมฟายเองคนเดียวยังจะดูสะเทือนใจกว่า…