Michelle Pfeiffer มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์

จากสาวซูเปอร์มาร์เก็ตสู่เวทีประกวด: จุดเริ่มต้นที่ไม่คาดฝัน

 

มิเชลล์ มารี ไฟฟ์เฟอร์ เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 1958 ในเมืองซานตาแอนา รัฐแคลิฟอร์เนีย ชีวิตช่วงแรกของเธอดูเหมือนจะห่างไกลจากโลกมายาอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นลูกสาวคนที่สองในบรรดาพี่น้องสี่คน โดยมีพ่อเป็นผู้รับเหมาติดตั้งเครื่องปรับอากาศและแม่เป็นแม่บ้าน หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม Fountain Valley High School เธอได้เข้าเรียนในวิทยาลัยชุมชนและทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินที่ซูเปอร์มาร์เก็ต Vons

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนชักชวนให้เธอเข้าร่วมการประกวดนางงาม ไฟฟ์เฟอร์ตัดสินใจลงประกวด “Miss Orange County” และคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นใบเบิกทางให้เธอได้เข้าร่วมการประกวด “Miss California” ในปี 1978 แม้จะไม่ได้รับตำแหน่ง แต่เวทีนี้ก็ทำให้เธอได้พบกับแมวมอง และจุดประกายให้เธอมองเห็นเส้นทางอาชีพนักแสดงอย่างจริงจัง

 

ก้าวสู่จอเงินและการแจ้งเกิดใน “Scarface”

 

ช่วงแรกในอาชีพนักแสดง ไฟฟ์เฟอร์เริ่มต้นด้วยบทบาทเล็กๆ ในซีรีส์โทรทัศน์และภาพยนตร์ที่ไม่เป็นที่จดจำนัก ผลงานที่โดดเด่นในช่วงแรกคือภาพยนตร์เพลงเรื่อง Grease 2 (1982) ซึ่งแม้ตัวหนังจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาคแรก แต่ก็ทำให้ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลงานที่ถือเป็นการ “แจ้งเกิด” อย่างแท้จริงและสลัดภาพสาวสวยธรรมดาออกไปจนหมดสิ้นคือ Scarface (1983) หรือในชื่อไทย “มาเฟียหน้าบาก” ผลงานกำกับของ ไบรอัน เดอ พัลมา ในบท “เอลวิรา แฮนค็อก” ภรรยาสาวสวยผู้ติดโคเคนของเจ้าพ่อมาเฟีย โทนี่ มอนทานา (รับบทโดย อัล ปาชิโน) ไฟฟ์เฟอร์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดบทบาทที่ซับซ้อนและเปราะบางได้อย่างน่าทึ่ง ความงามที่ดูเย็นชาและสายตาที่ว่างเปล่าของเธอกลายเป็นภาพจำที่ทำให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามองในทันที

 

ทศวรรษแห่งความรุ่งโรจน์: ไอคอนยุค 80s-90s

 

หลังจากความสำเร็จของ Scarface อาชีพของมิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ก็พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เธอได้ร่วมงานกับนักแสดงและผู้กำกับระดับตำนานมากมาย และมีผลงานที่น่าจดจำออกมาอย่างไม่ขาดสาย

• The Witches of Eastwick (1987): ภาพยนตร์แฟนตาซีคอมเมดี้ที่เธอได้ประชันบทบาทกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง แจ็ค นิโคลสัน, ซูซาน ซาแรนดอน และแชร์ พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอสามารถแสดงบทบาทที่เบาลงและมีเสน่ห์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
• Dangerous Liaisons (1988): การรับบท มาดาม เดอ ตูร์เวล สตรีสูงศักดิ์ผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อในเกมรักอันตราย ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรก
• The Fabulous Baker Boys (1989): ผลงานชิ้นเอกที่ส่งให้เธอขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพการแสดง ในบท ซูซี่ ไดมอนด์ นักร้องสาวพราวเสน่ห์ ไฟฟ์เฟอร์ไม่เพียงแต่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังโชว์เสียงร้องของตัวเองอีกด้วย ฉากที่เธอร้องเพลง “Makin’ Whoopee” บนเปียโนกลายเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

เข้าสู่ยุค 90s มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ได้ตอกย้ำสถานะ “ซูเปอร์สตาร์” ด้วยบทบาทที่กลายเป็นตำนานและอยู่ในความทรงจำของผู้ชมทั่วโลก

• Batman Returns (1992): การสวมบทบาท “แคทวูแมน” หรือ เซลินา ไคล์ ในภาพยนตร์ของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน คือการสร้างประวัติศาสตร์ เธอได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตัวละครนี้ด้วยการแสดงที่ผสมผสานความเซ็กซี่, ความบ้าคลั่ง, ความเปราะบาง และความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างลงตัว การตีความแคทวูแมนของเธอได้รับการยกย่องว่าเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดตลอดกาล และทำให้เธอกลายเป็นป๊อปคัลเจอร์ไอคอนไปในทันที
• The Age of Innocence (1993): การร่วมงานกับผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ในภาพยนตร์ดราม่าย้อนยุค แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
• Dangerous Minds (1995): ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทางรายได้อย่างถล่มทลาย กับบทบาทครูสาวที่ต้องเข้าไปสอนในโรงเรียนที่มีแต่เด็กนักเรียนเจ้าปัญหา เพลงประกอบ “Gangsta’s Paradise” ของ Coolio ก็โด่งดังไปทั่วโลกเช่นกัน

 

การพักเบรกเพื่อครอบครัวและการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี

 

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ ตัดสินใจพักงานแสดงเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่ หลังจากแต่งงานกับโปรดิวเซอร์และนักเขียนบทชื่อดัง เดวิด อี. เคลลีย์ และเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสองคน การหายหน้าไปจากวงการของเธอสร้างความเสียดายให้กับแฟนๆ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เธอให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

เธอกลับมารับงานแสดงอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ด้วยบทบาทสมทบในภาพยนตร์อย่าง Hairspray (2007) และ Stardust (2007) ซึ่งเป็นการกลับมาที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าไฟฟ์เฟอร์จะกลับมาโลดแล่นในวงการอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ด้วยผลงานที่หลากหลายและน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น:

• Mother! (2017) และ Murder on the Orient Express (2017)
• การเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล (MCU) ในบท เจเน็ต แวน ไดน์ หรือ The Wasp คนแรก ในภาพยนตร์ Ant-Man and the Wasp (2018) และ Avengers: Endgame (2019)
• บทบาทสุดท้าทายใน French Exit (2020) ที่ส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกครั้ง เป็นการพิสูจน์ว่าฝีมือการแสดงของเธอยังคงเฉียบคมไม่เปลี่ยนแปลง

 

มรดกและบทสรุป

 

มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ ไม่ใช่เพียงนักแสดงหญิงที่โด่งดังเพราะความสวย แต่เธอคือศิลปินที่ใช้ความสามารถในการแสดงพิสูจน์ตัวเองมาตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ เธอคือสัญลักษณ์ของความสง่างาม ความเป็นมืออาชีพ และความสามารถในการเลือกบทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่หนังทำเงินฟอร์มยักษ์ไปจนถึงหนังอินดี้ที่ท้าทายฝีมือ

เส้นทางจากพนักงานเก็บเงินสู่ดาวค้างฟ้าแห่งฮอลลีวูดของเธอ เป็นเครื่องยืนยันว่าด้วยความมุ่งมั่นและความสามารถที่แท้จริง คนคนหนึ่งสามารถสร้างตำนานที่น่าจดจำและเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลกได้ยาวนานเพียงใด และในวันนี้ มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ ยังคงเป็นนักแสดงที่พร้อมจะมอบการแสดงอันน่าประทับใจให้กับเราเสมอ สมกับตำแหน่ง “ดาวค้างฟ้า” ที่ไม่มีวันดับแสง