นักแสดงนำและผู้กำกับ
- ยวน แม็คเกรเกอร์ (Ewan McGregor) รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด บลูม (วัยหนุ่ม): การแสดงที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และความสดใสอย่างเต็มเปี่ยม
- อัลเบิร์ต ฟินนีย์ (Albert Finney) รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด บลูม (วัยชรา): การแสดงอันทรงพลังที่ส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์
- บิลลี่ ครูดัพ (Billy Crudup) รับบทเป็น วิลล์ บลูม
- เจสสิกา แลงจ์ (Jessica Lange) รับบทเป็น แซนดร้า (วัยชรา)
- พร้อมด้วยทัพนักแสดงสมทบชั้นยอดอย่าง เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์, สตีฟ บุสเซมี, แดนนี่ เดอวีโต้
- ผู้กำกับ: ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ปรมาจารย์แห่งหนังแฟนตาซีที่สลัดโทนหม่นหมองในแบบฉบับของเขา มาสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งสดใส, อบอุ่น, และสะเทือนอารมณ์ที่สุดในชีวิตการกำกับของเขา
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Big Fish คือภาพยนตร์ที่เฉลิมฉลองให้กับ “พลังของการเล่าเรื่อง” ได้อย่างงดงามที่สุด
- จินตนาการภาพที่น่าตื่นตา: สมชื่อ ทิม เบอร์ตัน หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยงานภาพที่สวยงามราวกับเทพนิยาย ทุกเรื่องเล่าของเอ็ดเวิร์ดถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและเปี่ยมด้วยจินตนาการ
- เรื่องราวของพ่อ-ลูกที่ลึกซึ้ง: หัวใจของหนังคือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายที่ซับซ้อนและกินใจ มันคือการเดินทางของลูกชายที่พยายามจะทำความเข้าใจพ่อ และในท้ายที่สุดก็ได้เรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่พ่อเป็น
- บทสรุปที่สวยงามที่สุด: 15 นาทีสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในตอนจบที่ “สวยงาม” และ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สมัยใหม่ เป็นตอนจบที่จะทำให้คุณต้องเสียน้ำตา… แต่มันคือน้ำตาที่มาจากความอิ่มเอมใจ
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 8.0/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ถึง 75% (Certified Fresh) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ, และ BAFTA มากมาย
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
ชีวิต คืออะไร? ถ้าเราต้องเล่าชีวิตของเราเอง หรือชีวิตใครสักคน การเล่าตามความจริงเป๊ะๆ มันจำเป็นแค่ไหน… เราจะเล่าแบบปรุงรสเพิ่มอีกหน่อย จะได้ไหม? ถ้าเราเล่าเรื่องตัวเองแบบเติมสีสัน จะถือว่าเป็นการบิดเบือนไหม? ถ้าบางครั้งความจริงของชีวิตมันไม่สนุก หรืออาจไม่สวยงาม แต่หากเราเลือกจะเล่าให้มันน่าฟังกว่า จบสวยกว่า นั่นจะถือว่าผิดไหม? คำถามเหล่านี้คงได้คำตอบต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละคน บางคนที่ยึดถือความจริงเป็นที่ตั้งก็อาจไม่ชอบให้ใครมาเล่าเรื่องโม้ๆ ปรุงๆ เหมือนหลอกคนฟังประหนึ่งเป็นคนโง่ แต่ผู้เล่าอาจไม่ได้อยากโกหก ไม่ได้คิดว่าใครโง่ เขาแค่อยากให้รสชาติของการเล่ามันอร่อยมากขึ้นก็แค่นั้น
เกินจริง โกหก ใส่สี ปรุงรส จะโอเคหรือไม่อาจขึ้นกับบริบท ถ้าเราเล่าเรื่องเพื่อให้ข้อมูลที่ต้องเน้นความจริง เช่นให้ปากคำ เล่าเหตุการณ์เพื่อให้ความเป็นธรรมกับใครสักคน หรือข้อมูลสำคัญที่จะมีผลกับชีวิตคน อันนี้เราก็ต้องว่ากันตามจริง แต่ในบางครั้งการเล่าเรื่องให้ลูกหลานฟัง โดยคงสาระไว้แต่เติมรสเข้าไป หรือการเพิ่มความหวือหวาให้กับเรื่องธรรมดาที่เราพบเจอ แล้วเอามาบอกเล่าให้เพื่อนฟัง เขียนให้คนอ่านผ่านบล็อก หรือเฟซบุ๊ค มันก็น่าจะถือเป็นสีสันชั้นดีประการหนึ่งให้กับโลกของเรา โลกที่ปราศจากเรื่องเล่า ก็คงไม่ต่างจากหนังสือเรียนที่เรียบเรียงอย่างทื่อๆ อ่านแล้วชวนให้ตื้อมากกว่าจะกระตุ้นให้ฉลาด
นั่นคือความคิดคร่าวๆ ที่ลอยไปมาในหัวระหว่างดู Big Fish หนังที่ผมเข้าไปดูในโรงตอนมันเข้าฉาย แม้รอบจะน้อยแค่ไหน แต่ลองว่าเป็นหนังป๋า Tim Burton มันก็ต้องเข้าไปคารวะกันสักหน้อย นับไปนับมาก็ปาเข้าไป 20 ปีแล้วนะครับ ผมเพิ่งเอามาดูใหม่อีกรอบ ความรู้สึกชอบก็ยังคงอยู่ไม่จางไปไหน แล้วการได้ดูตอนอายุมากขึ้น (นี่พยายามหลีกเลี่ยงคำว่า “แก่” แบบสุดลิ่้มแล้วนะนี่ 555) ก็ได้ความคิดแบบที่ผมร่ายไปข้างต้นโผล่ขึ้นมาในหัวนั่นแหละครับ ตัวเอกของเรื่องคือ เอ็ดเวิร์ด บลูม (Albert Finney) คุณพ่อนักเล่าเรื่องที่ชอบสาธยายเรื่องราวชีวิตวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยสีสันและแปลกพิสดารของเขา แม้ใครต่อใครจะชื่นชอบแต่ วิลล์ (Billy Crudup) ลูกชายของเขากลับไม่สบอารมณ์ เพราะเขามองว่าทุกครั้งที่พ่อเล่าเรื่องตัวเองในเวอร์ชั่นปรุงแต่งใส่สีนั้นมันช่างเป็นการเสแสร้ง เหมือนโกหกตัวเอง และหลอกลวงคนอื่น ทำให้พ่อลูกคู่นี้มองหน้ากันไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ
หนังแบ่งเล่าเรื่องออกเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนแรกก็ว่าด้วยสัมพันธภาพที่ไม่ดีนักระหว่างเอ็ดเวิร์ดกับวิลล์ ส่วนที่ 2 ก็คือการเล่าเรื่องสมัยหนุ่มของเอ็ดที่ต้องพบเจอกับเรื่องแปลกๆ มากมายทั้งแม่มด, ยักษ์, พี่น้องคู่แฝดตัวติดกัน ฯลฯ ซึ่งการเล่าเรื่องก็ถือว่าน่าติดตามดีครับ ดูสนุกเพลิน ในส่วนของแฟนตาซีนั้นไว้ใจป๋า Tim อยู่แล้วครับ ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจ แต่ในด้านเนื้อหาเชิงดราม่าหรือความสัมพันธ์พ่อลูกอันนี้แม้จะออกมาดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม ซึ่งนั่นก็เป็นอะไรที่เผื่อใจอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ เวลาดูหนังป๋า Tim สิ่งที่ไว้ใจได้คือเรื่องเพี้ยนๆ เรื่องจินตนาการและอารมณ์ขัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของมิติตัวละครแล้วก็มีทั้งที่พี่ท่านทำได้และทำยังไม่ถึง แต่กระนั้นเท่าที่เป็นอยู่ในหนังก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งแล้วล่ะครับ
ในมุมหนึ่งผมคิดว่าการนำเสนอแบบที่เห็นในหนังนั้นคงจะพอเหมาะกับเรื่องราว เพราะหนังตั้งใจจะบอกเล่าตัวตนของเอ็ดเวิร์ดในแบบนี้ ในแบบนักเล่าเรื่องอารมณ์ดีมากกว่าจะลงลึกในส่วนของมิติจิตใจ เช่น อะไรทำให้เอ็ดเวิร์ดมีพฤติกรรมเป็นนักเล่าอารมณ์ดีที่ชอบเติมสีสันให้ชีวิต, อะไรทำให้ซาร่าห์รักในตัวเอ็ดเวิร์ด (ซึ่งมันคงจะมีอะไรมากกว่าที่เอ็ดเวิร์ดเล่ามา) ซึ่งอันนี้ก็พอเข้าใจได้ครับ ว่าหนังอยากเล่นและเน้นกับบุคลิกนักเล่าของเอ็ดมากกว่า แต่เพราะเหตุนั้นหากมองในอีกมุม คนดูก็อดรู้สึกเหมือนวิลล์ไม่ได้ครับ นั่นคือรู้สึกว่าเรายังไม่ได้รู้จักเอ็ดเวิร์ดจริงๆ ไม่ซึมลึกถึงตัวจริงของเขา ไปๆ มาๆ คนที่เราได้รู้จักจริงๆ ก็คือวิลล์ ลูกผู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ (หรือพยายามทำ) แต่สิ่งสำคัญที่คนดูได้เรียนรู้จากเรื่องทั้งหมดก็คงเหมือนที่วิลล์ได้เรียนรู้น่ะครับ นั่นคือ เราอาจไม่จำเป็นต้องเข้าใจคนสักคนให้หมดทุกมุม เราอาจไม่จำเป็นต้องขุดลึกไปให้เจอตัวตนของใคร แค่เรายอมรับในตัวตนที่เขาแสดงออก แค่เราพยายามเข้าใจในสิ่้งที่เขากระทำ นั่นก็อาจเพียงพอแล้วสำหรับการรู้จักใครสักคน เพราะบางครั้งธงที่เราตั้งในใจเกี่ยวกับตัวตนของใคร มันอาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็ได้
Crizmkodo
⭐ 5/10
พ่อของผมเป็นช่างแกะสลักที่เก่งกาจและมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ตอนผมยังเด็ก ผมไม่เคยอธิบายได้เลยว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ ผมได้รับมันมาหนึ่งเดือนก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ตอนผมอายุ 26 ปี หนังเรื่องนี้ทำให้ผมน้ำตาไหล เพราะมันทำให้ผมนึกถึงท่าน ท่านมีไอเดียมากมายและไอเดียที่ชาญฉลาดและแปลกใหม่ในการพัฒนาโลก แต่ตลอดชีวิตของท่าน ท่านไม่สามารถขายมันให้ใครได้ เพราะไอเดียเหล่านั้นกินเวลาทั้งวันของท่าน จริงๆ นะ อพาร์ตเมนต์ของท่านเต็มไปด้วยเอกสาร ขอบคุณสำหรับหนังเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับข้อความ ผมอยากจะเสริมว่าเมื่อเราฝัน เรากำลังหนีออกจากโลกแห่งข้อเท็จจริงและความจริง เมื่อพ่อของผมบอกว่าถ้าเราคิดถึงอะไรในชีวิต จงเขียนมันลงไป เพราะสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวมันจะไม่กลับมาอีก มันเปลี่ยนชีวิตผม ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่ เป็นนวนิยายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในเมโสโปเตเมีย และนั่นก็เพราะพ่อของผมเป็นคนที่เชื่อในจินตนาการและคุณค่าแห่งความคิดสร้างสรรค์
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในหนังแฟนตาซี-ดราม่าที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ เราขอแนะนำ:
- Forrest Gump (1994): หนังออสการ์ในตำนานที่ว่าด้วยชีวิตสุดมหัศจรรย์ของชายคนหนึ่ง
- Amélie (2001): หนังฝรั่งเศสสุดอาร์ตที่มีสไตล์ภาพที่สวยงามและแปลกตาไม่แพ้กัน
- The Curious Case of Benjamin Button (2008): อีกหนึ่งมหากาพย์ชีวิตสุดแฟนตาซีที่กินใจ
- About Time (2013): หนังที่ใช้แฟนตาซี (การเดินทางข้ามเวลา) มาเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อลูกได้อย่างลึกซึ้ง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: เรื่องราวในหนังเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง?
A: นั่นคือคำถามสำคัญของหนังเลยครับ! หนังจงใจเบลอเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับเรื่องแต่ง และในท้ายที่สุดก็สรุปว่า “เรื่องเล่า” ที่เปี่ยมด้วยจินตนาการของพ่อ อาจจะเป็น “ความจริง” ในเชิงอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าข้อเท็จจริงธรรมดาๆ
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังของ ทิม เบอร์ตัน จริงเหรอ? ดูไม่เหมือนเรื่องอื่นของเขาเลย
A: จริงครับ! แม้ว่าโทนเรื่องจะสดใสและอบอุ่นกว่าผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาอย่าง Batman หรือ Edward Scissorhands แต่ลายเซ็นด้านจินตนาการภาพที่น่าทึ่งของเขายังคงอยู่ครบถ้วน หลายคนยกให้เรื่องนี้เป็นผลงานที่ “เป็นผู้ใหญ่” และ “ลึกซึ้ง” ที่สุดของเขา
Q: หนังเรื่องนี้เศร้ามากไหม?
A: หนังมีประเด็นเรื่องความตายของพ่อเป็นแกนหลัก ซึ่งสะเทือนอารมณ์และจะทำให้คุณเสียน้ำตาแน่นอนครับ แต่ตอนจบของหนังไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่กลับสวยงาม, อิ่มเอม, และให้กำลังใจอย่างที่สุด เป็นหนังประเภท “ร้องไห้แบบมีความสุข”
บทสรุป: Big Fish คือภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซที่ทั้งตลก, เศร้า, และมหัศจรรย์อย่างที่สุด เป็นผลงานที่เฉลิมฉลองให้กับชีวิต, ความรัก, และเรื่องเล่าที่หล่อหลอมตัวตนของเรา นี่คือหนังที่ไม่ใช่แค่ “ดู” แต่คือหนังที่จะทำให้คุณ “รู้สึก” และจะอยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน