ดูหนัง Bring Her Back (2025) เรียกมันกลับมาหลอน
แอนดี้และน้องสาวบุญธรรมของเขาที่พิการทางสายตาไพเพอร์ ถูกส่งไปอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าหลังจากที่พบว่าพ่อของพวกเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องอาบน้ำ พวกเขาถูกลอร่า แม่บุญธรรมที่ดูใจดีแต่แปลกประหลาด และ โอลิเวอร์ ลูกบุญธรรม ใบ้ ของเธอ รับไปดูแล ลอร่าบอกพวกเขาว่าแคธี่ ลูกสาวของเธอ ซึ่งพิการทางสายตาเช่นกัน จมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำหลังบ้าน แอนดี้รู้สึกไม่สบายใจที่ลอร่าชอบไพเพอร์และโอลิเวอร์ที่ทำตัวไม่ดี ในงานศพของพ่อ ลอร่าบอกแอนดี้ว่าบางคนเชื่อว่าวิญญาณจะคงอยู่ในร่างหลังจากเสียชีวิตแล้ว คืนนั้น แอนดี้เปิดเผยว่าพ่อของพวกเขาทำร้ายเขา แต่กลับแสดงความรักต่อไพเพอร์ ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง ลอร่าบอกว่าเธอจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้แคธี่เรียกเธอว่า “แม่” อีกครั้ง ขณะที่อยู่บ้านคนเดียว แอนดี้เห็นโอลิเวอร์ทำร้ายตัวเองด้วยมีดทำครัว เมื่อแอนดี้พยายามจะพาเขาข้ามวงกลมสีขาวที่ล้อมรอบบ้าน โอลิเวอร์ก็ชักกระตุกอย่างรุนแรง ลอร่ากลับมาด้วยความตื่นตระหนกและทำให้เขาสงบลงโดยถูหัวเป็นวงกลม ซึ่งเป็นเทคนิคจาก เทปวี เอชเอสที่บรรยายพิธีกรรมอันน่าสะเทือนใจ
ของลัทธิหนึ่งโอลิเวอร์ขอความช่วยเหลือเพียงสั้นๆ แต่กลับถูกบีบให้กลับเข้าสู่สภาวะคล้ายถูกสะกดจิต ต่อมา แอนดี้เกิดภาพหลอนถึงวิญญาณของพ่อขณะอาบน้ำและหมดสติไป ในโรงพยาบาล เขาขอร้องลอร่าไม่ให้ปล่อยไพเพอร์ไป เพราะกลัวว่าเธอจะตาย ลอร่าเพิกเฉยต่อเขาและพาไพเพอร์ไปที่ตู้แช่แข็งในอาคารนอกอาคารซึ่งมีศพของแคธี่ที่ถูกถนอมรักษาเอาไว้ เผยให้เห็นว่าร่างของ Cathy และ Oliver เป็นส่วนหนึ่งของ พิธีกรรม การคืนชีพตามที่แสดงให้เห็นจากเทปของลัทธิ ซึ่งต้องใช้เรือที่ถูกปีศาจเข้าสิงเพื่อกลืนศพ จากนั้นจึงอาเจียนซากศพลงในร่างที่เพิ่งถูกฆ่าตายและตายในลักษณะเดียวกัน ลอร่าวางแผนที่จะจมน้ำ Piper เพื่อเลียนแบบการตายของ Cathy และใช้ Oliver เพื่อทำพิธีกรรมให้เสร็จสิ้น หลังจาก Andy ออกจากโรงพยาบาล ลอร่าต่อย Piper ในขณะหลับ โทษ Andy และพยายามหันให้ Piper ต่อต้านเขา เธอพา Piper ไปเล่นโกลบอลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัว
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Billy Barratt / บิลลี่ บาร์รัตต์

Sora Wong / โซระ หว่อง

Sally Hawkins / แซลลี่ ฮอว์กินส์

ผู้กำกับ Danny Philippou / Michael Philippou
รีวิวหนัง Bring Her Back (2025) เรียกมันกลับมาหลอน
หนังฝังมุก
พี่ชายและน้องสาวค้นพบพิธีกรรมน่าสะพรึงกลัว ณ บ้านที่ห่างไกลผู้คนของแม่บุญธรรมคนใหม่ของพวกเขา ความมืดและแสงสว่าง ด้วย Talk to Me ภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2022 ของพวกเขาที่เป็นปรากฏการณ์แห่งวงการภาพยนตร์สยองขวัญ ทีมผู้สร้างแดนนีและไมเคิล ฟิลิปโปก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคู่หนึ่งในวงการ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซึ่งมีวัยรุ่นที่ทำอะไรแผลงๆ ด้วยการอัญเชิญวิญญาณมาสิงร่างพวกเขาในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นที่บ้าน ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากความมุทะลุที่พวกเขาเคยสัมผัสมาเมื่อตอนเป็นเด็กนักเรียนไฮสคูล แต่มันก็มีความสมจริงและถูกยกระดับขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เป็นจริงมากๆ ของผลลัพธ์ที่ตามมา “กับหนังที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหรือแนวอื่นๆ เราก็อยากให้เรื่องราวของเรามีแกนเรื่องที่ทรงพลังทางอารมณ์ สิ่งที่เราอยากจะสร้างขึ้นมา เราก็อยากให้มันเวิร์คในหลายๆ ระดับครับ”
ไมเคิลพูดถึงภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา แดนนีเห็นพ้องด้วย พลางกล่าวเน้นย้ำว่า จนถึงตอนนี้ ภาพยนตร์ของพวกเขาเป็นแนวสยองขวัญอย่างชัดเจนและมั่นใจ “เราไม่อยากจะกลัวสิ่งที่เป็นหนังสยองขวัญ แต่เราอยากจะยอมรับว่ามันเป็นหนังสยองขวัญและภูมิใจกับการได้สร้างหนังสยองขวัญครับ” ด้วยความชำนาญในการควบคุมแนวภาพยนตร์นี้และแนวทางที่ผู้ชมตอบสนองกับเรื่องราวของพวกเขา สองพี่น้องจึงสามารถผสมผสานความสยองขวัญ อารมณ์มืดหม่นที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก และความตลกขบขันอย่างน่าประหลาดใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพวกเขาได้นำตัวละครที่สมจริงและเข้าถึงได้มาผ่านสถานการณ์บางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่มีประสิทธิภาพและน่าจดจำยิ่งกว่าเดิมในท้ายที่สุด ทีมผู้สร้างอ้างถึงกระแสของภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติเกาหลีในยุค 2000s โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์โดยบองจุนโฮเรื่อง Memories of Murder
ว่าเป็นแรงบันดาลใจในแบบที่ผู้กำกับออเทอร์ที่ตอนนี้คว้ารางวัลออสการ์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถนำอารมณ์ขันพิลึก ตลกเจ็บตัวและความทุกข์ใจที่มีตรวนอารมณ์ลากยาวมาเป็นแกนกลางของภาพยนตร์เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของฆาตกรต่อเนื่องได้ ตอนนี้ สองปีหลังจากผลงานแจ้งเกิดของพวกเขา ผลงานเรื่องถัดมาของพี่น้องฟิลิปโปคือ Bring Her Back เป็นการทำให้คู่หูเขียนบท/กำกับคู่นี้กลับคืนสู่การล้วงลึกเข้าไปในโลกสยองขวัญของชีวิตครอบครัวชานเมือง ที่ถูกยกระดับให้เข้มข้นขึ้นด้วยความตกตะลึงทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งและความสยดสยองที่บิดเบี้ยวที่สุดในบรรดาภาพยนตร์แนวนี้ในช่วงเวลานี้ แต่มันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงบันดาลใจที่ไร้เดียงสาและอ่อนโยนกว่านั้นเยอะ “น้องสาวของเพื่อนเราคนหนึ่งมีความบกพร่องทางสายตา แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งกับครอบครัวของเธอ ที่เธออยากจะไปขึ้นรถเมล์คนเดียว แต่พ่อแม่เธอไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น” แดนนีเล่า “เธอพยายามจะสื่อสารกับพวกเขาว่าเธอจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกโดยที่ไม่มีใครมาคอยโอ๋เธอตลอดเวลา และเธอจะต้องพึ่งพาตัวเองได้”
ธีมหลักนั้น ของการที่เด็กสาวออกเดินก้าวแรกสู่ความพึ่งพาตัวเองได้ ได้ปรากฏในเรื่องราวของไปเปอร์ (โซรา หว่อง) ผู้มีความบกพร่องทางสายตา และถูกปกป้องจากความชั่วร้ายของชีวิตโดยแอนดี้ (บิลลี บาร์รัตต์) พี่ชายผู้หวงแหนเธอ แอนดี้มักจะระบายสีโลกใบนี้เป็นสีกุหลาบให้กับไปเปอร์ ป้องกันเธอจากความเลวร้ายที่สุดของมันเพราะเขาทนไม่ได้ที่จะแบ่งปันโลกที่อัปลักษณ์เหลือเกินให้กับน้องสาวของเขา แต่หลังจากที่พี่น้องคู่นี้ประสบกับโศกนาฏกรรมและความสยดสยองที่ไม่อาจเลี่ยงได้ พวกเขาก็ถูกเหวี่ยงเข้าหาสถานการณ์ที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไปเปอร์และแอนดี้ตกอยู่ภายใต้ความดูแลของลอรา (แซลลี ฮอว์กินส์) เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเด็กและที่ปรึกษา ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่ห่างไกลผู้คนกับโอลิเวอร์ (โจนาห์ เรน ฟิลลิปส์) เด็กกำพร้าที่ทำตัวมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พี่น้องคู่นี้ค่อยๆ เผยถึงความจริงเลวร้ายที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมที่น่าหงุดหงิดของโอลิเวอร์ สภาพที่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ของเขาและสระว่ายน้ำว่างเปล่าที่ลึกลับใจกลางบริเวณบ้านของลอรา พี่น้องฟิลิปโปได้เผยถึงความนัยในเรื่องเล่าของพวกเขา ผ่านทางฟุตเตจสยองขวัญสั้นๆ ที่ถูกค้นพบและการตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ใหม่ๆ ของพวกเขา “Talk to Me ให้ความรู้สึกเหมือนหนังปาร์ตี้สยองขวัญ แต่หนังเรื่องนี้จะถูกขับเคลื่อนด้วยตัวละครมากกว่าครับ” แดนนีกล่าว “เราชื่นชอบความท้าทายของเรื่องราวที่ถูกจำกัด เกี่ยวกับตัวละครสามตัว และโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาครับ”
ครอบครัวที่แตกร้าว สำหรับลอรา (แซลลี ฮอว์กินส์) ผู้ซึ่งความลับของเธอเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราว สองพี่น้องได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากแนวทางของภาพยนตร์ที่ย้อนกลับไปไกลถึงภาพยนตร์คลาสสิกปี 1962 เรื่อง What Ever Happened to Baby Jane? ซึ่งโฟกัสไปที่ตัวละครจิตใจแตกสลาย ผู้ปลีกตัวจากโลกแห่งความเป็นจริง เข้าสู่แฟนตาซีมืดหม่นที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ในตอนที่แฟนตาซีนั้นถูกทำลายลงโดยโลกรอบตัวพวกเขา ปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อการบุกรุกนั้นมักจะเหมือนกับการลงแดงที่รุนแรง มีหลายสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าภาพเพ้อฝันที่ปลอบประโลมจิตใจ ตัวละครในภาพยนตร์เหล่านี้ “ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนเลวร้ายตั้งแต่แรก แต่โลกมันเลวร้าย และเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นกับพวกเขา จนทำให้พวกเขาเรียนรู้ทุกอย่างครับ” แดนนีกล่าว “ดังนั้น สำหรับลอรา สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือการพยายามจะเขียนตัวละครที่คุณรู้สึกอึดอัดที่จะเห็นใจหรือเอาตัวเข้าไปแทนครับ”
ในทันที พี่น้องฟิลิปโปนึกถึงแซลลี ฮอว์กินส์ (The Shape of Water) นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ผู้ซึ่งความสามารถในการแสดงดรามาและทักษะในการถ่ายทอดอดีตที่เปราะบางของตัวละคร ทำให้เธอเหมาะเจาะกับบทนี้ นอกจากนี้ พวกเขายังสนใจความจริงที่ว่า เธอไม่เคยแสดงภาพยนตร์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าความเข้มข้นทางอารมณ์ของเรื่องจะคล้ายคลึงกับผลงานที่เธอร่วมงานกับผู้กำกับอย่างไมค์ ลีห์ใน Happy-Go-Lucky และ Vera Drake ก็ตาม “การได้เห็นตัวละครต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ที่เธอได้สร้างเรื่องราวเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ให้ นั่นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับผม แนวคิดที่ว่ามีคนใส่ใจในตัวละครของเธอมากขนาดนั้นน่ะครับ” แดนนีกล่าว ไมเคิลกล่าวเสริมแล้ว “ลอราถูกเขียนขึ้นมาในแบบที่แสดงออกถึงความมั่นใจมากขึ้น แต่แซลลีใส่มิติให้กับมันและแสดงมันออกมาในแบบที่แตกต่างและน่าสนใจกว่า ลอราวุ่นวายใจกับสิ่งที่เธอกำลังทำในหนังเรื่องนี้ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอเป็นมนุษย์ครับ”
ในส่วนตัวเธอแล้ว ฮอว์กินส์ประทับใจอย่างลึกซึ้งกับผู้กำกับหนุ่มคู่นี้ แนวทางการสร้างภาพยนตร์ของพวกเขาที่ขับเคลื่อนโดยตัวละครและวิธีการทำงานร่วมกับนักแสดงของพวกเขา “แดนนีและไมเคิลจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับโลกใบนี้ค่ะ พวกเขามีพลังงานและแรงขับเคลื่อนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่อยู่รอบด้าน พวกเขาทั้งฉลาด มีไหวพริบ และมีความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์และมีคุณธรรมค่ะ” ฮอว์กินส์กล่าว “มันเป็นเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนและรับมือกับประเด็นที่ละเอียดอ้อน แม้จะอยู่ในกรอบหรือภายใต้หน้ากากที่น่าสะพรึงกลัวก็ตาม ฉันรู้สึกว่าได้รับแรงสนับสนุน และความไว้วางใจอย่างยิ่ง และฉันยังได้รับอิสระในการทำในสิ่งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องทำด้วยค่ะ” การหานักแสดงสำหรับบทไปเปอร์กลับกลายเป็นงานที่ต้องอาศัยความเฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น ผู้กำกับรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือการเลือกคนที่มีปัญหาด้านการมองเห็น และพวกเขาก็เริ่มต้นการออดิชันภายใต้ความคิดนั้นเอง นอกชั้นเรียนการละครที่ไฮสคูลแห่งหนึ่ง โซรา หว่อง วัย 12 ปี ไม่เคยแสดงมาก่อนเลย แต่เธอก็ทำให้สองพี่น้องฟิลิปโปตกตะลึงกับการออดิชันของเธอและความสามารถของเธอในการสวมบทนี้ “เราทำแบบทดสอบนี้กับเธอ และเธอก็แสดงฉากนี้ แสดงอิมโพรไวส์แบบนนี้ และมันก็เหลือเชื่อเลยครับ” ไมเคิลกล่าว “เธอเอาตัวเองไปอยู่ในความนึกคิดของตัวละคร ซึ่งในแง่หนึ่ง นั่นไม่ใช่การแสดงด้วยซ้ำไป มันเป็นเหมือนการเอาตัวเองเข้าไปแทนที่ เธอน่าทึ่งมากครับ”