ดูหนัง Daredevil (2003) มนุษย์อหังการร
ทุกท่าน! ในยุคที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ยังไม่ได้ถูกผูกเข้าเป็นจักรวาลใหญ่ มีภาพยนตร์จาก Marvel เรื่องหนึ่งที่กล้าจะแตกต่างด้วยโทนที่มืดมนและจริงจัง สวนกระแสความสดใสของ Spider-Man ในยุคเดียวกัน Daredevil คือความพยายามอันทะเยอทะยานที่จะนำเสนอฮีโร่สายดาร์กสู่จอเงิน วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” และรำลึกถึงผลงานที่ทั้งถูกวิจารณ์และเป็นที่ชื่นชอบในเวลาเดียวกัน และค้นหาคำตอบว่าทำไมเวอร์ชั่น “Director’s Cut” ถึงดีกว่าอย่างฟ้ากับเหว!
เรื่องย่อ
แมตต์ เมอร์ด็อก (เบน แอฟเฟล็ก) ประสบอุบัติเหตุในวัยเด็กจนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาต้องมืดบอด แต่โชคชะตากลับมอบ “ของขวัญ” มาทดแทน เมื่อประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ ของเขาถูกยกระดับขึ้นจนเหนือมนุษย์ ทำให้เขาสามารถ “มองเห็น” โลกรอบตัวได้ด้วยเสียงสะท้อนที่แม่นยำ
ในเวลากลางวัน เขาคือทนายความผู้ต่อสู้เพื่อคนยากจนในย่านเฮลส์คิทเช่นที่เสื่อมโทรม แต่ในเวลากลางคืน เขาคือศาลเตี้ยในชุดสีแดงนามว่า “แดร์เดวิล” ผู้ไร้ซึ่งความกลัว ที่ออกปราบปรามเหล่าอาชญากรที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง
ชีวิตสองด้านของเขาเริ่มซับซ้อนขึ้นเมื่อเขาได้พบกับ อิเล็คตรา นาทชิออส (เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) หญิงสาวสวยผู้มีทักษะการต่อสู้ลึกลับ และในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับสองมหาวายร้ายที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมือง นั่นคือ วิลสัน ฟิสก์ หรือ “คิงพิน” (ไมเคิล คลาร์ก ดันแคน) เจ้าพ่ออาชญากรรมผู้โหดเหี้ยม และ “บูลส์อาย” (โคลิน ฟาร์เรล) นักฆ่าโรคจิตผู้มีฝีมือในการใช้อาวุธทุกชนิดได้อย่างแม่นยำราวจับวาง
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์: ฉบับ Director’s Cut ดีกว่าจริงหรือ?
Daredevil เวอร์ชั่นที่ฉายในโรงภาพยนตร์ (Theatrical Cut) ได้รับเสียงวิจารณ์ที่แตกออกเป็นสองฝั่งอย่างรุนแรง หลายคนชื่นชมในความดาร์กและฉากแอ็คชั่น แต่ก็มีจำนวนมากที่ติติงว่าพล็อตเรื่องถูกตัดต่อจนขาดความต่อเนื่องและเรื่องราวความรักที่ดูเร่งรีบเกินไป
แต่แล้ว Director’s Cut ที่ออกตามมาในภายหลัง ก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง!
- เนื้อเรื่องที่สมบูรณ์ขึ้น: เวอร์ชั่นนี้มีความยาวเพิ่มขึ้น 30 นาที และได้เพิ่มเส้นเรื่องรองที่สำคัญเกี่ยวกับการสืบคดีในศาลกลับเข้ามา ทำให้แรงจูงใจของตัวละครชัดเจนและเรื่องราวมีความเป็นหนังแนวสืบสวน-อาชญากรรมมากขึ้น
- โทนที่ดาร์กและสมจริง: เวอร์ชั่นนี้เป็นหนังเรท R ที่มีความรุนแรงและโทนที่มืดมนกว่าเดิมอย่างชัดเจน ทำให้เข้าใกล้ความเป็นคอมิกส์ต้นฉบับมากขึ้น
- ตัวละครที่มีมิติ: ความสัมพันธ์ระหว่างแมตต์และอิเล็คตราถูกปูพื้นได้ดีขึ้น ทำให้เราเข้าใจในความรักและความขัดแย้งของพวกเขาสองคนมากขึ้น
สรุปคือ: Director’s Cut คือเวอร์ชั่นที่แท้จริงและดีกว่าเวอร์ชั่นโรงอย่างมหาศาล!
- IMDb: ให้คะแนน 5.3/10 (สำหรับเวอร์ชั่นโรง)
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ที่ 44% (สำหรับเวอร์ชั่นโรง)
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
แมตต์ เมอร์ด็อก (Ben Affleck) คือทนายความตาบอดที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และในยามค่ำคืน เขาคือ แดร์เดวิล นักปราบอธรรมของเมือง เขาต้องต่อกรกับ วิลสัน ฟิสก์ (Michael Clarke Duncan) เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล ฉายาว่า คิงพิน แล้วเขายังต้องเจอกับ บูลส์อาย (Colin Farrell) จอมวายร้ายเจ้าอารมณ์ผู้บ้าคลั่ง และท้ายที่สุด เขายังพบรักกับอีเลคตร้า (Jennifer Garner) สาวน้อยผู้ไม่กลัวอันตรายอีกด้วย กับเรื่องนี้ก็สร้างจากตัวการ์ตูนฮีโร่ที่คิดโดย Stan Lee กับ Bill Everett ในปี 1964 แต่ Daredevil นั้นมาดังแบบจริงๆจังๆตอนปี 1979 โดยตอนนั้น Frank Miller ได้เข้ามารับหน้าที่แต่งเรื่อง ซึ่งเขาเพิ่มความหม่นมืด กดดันลงไปมาก จนทำให้ DD ฮิตติดลมบนขึ้นมาในบัดดล (และ Frank Miller ผู้นี้เองที่เป็นคนสร้างความแปลกใหม่ในช่วงเวลาต่อมาให้กับ Batman โดยการสร้าง Batman Year One ขึ้นมา ซึ่งก็คือช่วง 1 ปีแรกที่ บรูซ เวนย์ ตัดสินใจเป็นแบทแมนนั่นเอง)
หนังได้ Mark Steven Johnson ทำหน้าที่กำกับและเขียนบท ซึ่งก็รู้สึกว่าคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ จนส่งผลให้รายได้ไปได้ไม่ไกล (ได้ไป $179 ล้านจากทั่วโลกครับ ในขณะที่ทุนสร้างอยู่ที $78 ล้าน ก็พอโปะทุนแต่ไม่กำไร) ส่วนผมมองว่าหนังก็โอเคอยู่ครับ ดูได้เพลินๆ และมาพร้อมความหม่นมืดตามสไตล์หนังซุเปอร์ฮีโร่ในเงามืด ฉากการต่อสู้ก็ใช้ได้ ที่ผมชอบมากๆคือ จุดอ่อนของซูเปอร์ฮีโร่ ที่หนังแนวนี้ส่วนมากมักจะละเลยหรือไม่ก็ลืมไป แต่กับเรื่องนี้ บูลส์อายตัวร้ายของเรื่องได้เอามาใช้ครับ และทำให้แดร์เดวิลเกือบแย่แน่ะ ซึ่งก็เพิ่มความลุ้นให้หนังได้ประมาณหนึ่ง Johnson นั้นทำหนังชีวิตมามากครับ จึงทำให้ DD ออกจะหนักไปทางดราม่าอยู่ไม่น้อย แต่ผมว่าก็เข้ากับทางของหนังนะ เพราะ DD เป็นฮีโร่ผู้เดียวดายอีกคนเหมือนกัน เรียกว่าโดยรวมผมไม่ผิดหวังครับ คืออาจไม่ถึงกับชอบสุดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ดูได้เพลินดี แต่เสียดายหน่อยกับฉากจบที่ผมว่าง่ายไปหน่อย โดยเฉพาะบทสรุปของคิงพินที่ไม่สาสมกับความเลวของตัวละครนี้เลย โดยรวมๆ ผมว่าเป็นหนังฮีโร่ที่พอได้ครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะสมัยที่ดูนั้นได้ทีมพากย์ที่ถูกใจด้วย (ทีม CVD น่ะครับ) เพียงแต่ตัวหนังก็ยังดีได้อีกเท่านั้นเอง
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังฮีโร่สายดาร์ก เราขอแนะนำ:
- Daredevil (Netflix Series, 2015): เวอร์ชั่นซีรีส์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการดัดแปลงตัวละครนี้ได้ดีที่สุด ดิบเถื่อนและสมจริงอย่างยิ่ง
- The Crow (1994): หนังฮีโร่สายดาร์กยุค 90s ที่มีบรรยากาศแบบ Gothic และเพลงประกอบสุดร็อก
- Batman Begins (2005): หนังที่ยกระดับความดาร์กและสมจริงของหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปอีกขั้น
- Spider-Man (2002): หากอยากเปรียบเทียบกับหนังมาร์เวลอีกเรื่องที่ออกฉายในยุคเดียวกัน แต่มีโทนที่สดใสแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี?
A: ส่วนใหญ่เป็นเพราะเวอร์ชั่นที่ฉายในโรงถูกตัดต่อเพื่อให้หนังกระชับขึ้นและได้เรท PG-13 ทำให้เนื้อเรื่องขาดความต่อเนื่องและมิติของตัวละครหายไปครับ
Q: ต้องดูเวอร์ชั่น Director’s Cut จริงๆ เหรอ?
A: จริงแท้และแน่นอน 100% ครับ! มันคือหนังคนละเรื่องเลยก็ว่าได้ Director’s Cut ทำให้หนังกลายเป็นหนังทริลเลอร์-อาชญากรรมที่เข้มข้นและน่าติดตามขึ้นมาก หลายคนที่เกลียดเวอร์ชั่นโรง กลับมาชอบเวอร์ชั่นนี้แทน
Q: หนังเรื่องนี้เชื่อมกับ MCU หรือเปล่า? แล้วทำไม เบน แอฟเฟล็ก ถึงไปเล่นเป็นแบทแมนได้?
A: ไม่ได้เชื่อมต่อกันครับ หนังเรื่องนี้สร้างโดยสตูดิโอ 20th Century Fox และอยู่ในจักรวาลของตัวเอง แยกจาก MCU โดยสิ้นเชิง ส่วนการที่เบน แอฟเฟล็ก ไปรับบทแบทแมนได้ เพราะเป็นฮีโร่ของค่าย DC ซึ่งเป็นคนละค่ายและคนละจักรวาลกับ Marvel ครับ
บทสรุป: Daredevil (2003) คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเป็นภาพสะท้อนของยุคสมัยได้อย่างดี แม้เวอร์ชั่นฉายโรงอาจจะเป็นที่น่าผิดหวัง แต่ Director’s Cut ได้ยกระดับมันขึ้นมาเป็นหนังทริลเลอร์สายดาร์กที่แข็งแรงและน่าจดจำ หากคุณเป็นแฟนคอมิกส์หรืออยากจะสำรวจประวัติศาสตร์ของหนังฮีโร่ นี่คือผลงานที่ควรค่าแก่การไปตามหาเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดมาชม