ดูหนัง Ed Wood (1994) จะห่วยจะชุ่ย พี่ขอลุยด้วยใจ
ถ้าคุณคิดว่าหนังชีวประวัติต้องเล่าถึงแต่เรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ วันนี้เราจะขอให้คุณคิดใหม่! “Ed Wood” คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน ที่จะพาเราไปพบกับชีวิตสุดเพี้ยนของ เอ็ดเวิร์ด ดี. วู้ด จูเนียร์ ชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผู้กำกับที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์” แต่กลับมีความรักและ “แพสชัน” ในการทำหนังที่ยิ่งใหญ่เกินใคร!
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์ (ที่ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาว-ดำทั้งหมด) เล่าเรื่องราวชีวประวัติของ เอ็ด วู้ด (รับบทโดย จอห์นนี่ เดปป์) ผู้กำกับ, นักเขียนบท, และนักแสดงสุดเพี้ยนในฮอลลีวูดยุค 1950s เขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ติดอยู่อย่างเดียว…เขาทั้ง “ห่วย” และ “ไม่มีพรสวรรค์” เลยแม้แต่น้อย!
หนังพาเราไปติดตามการดิ้นรนของเอ็ด วู้ด ในการสร้างผลงาน “คัลท์คลาสสิก” (ในทางที่แย่) ของเขา ไม่ว่าจะเป็น Glen or Glenda (หนังที่เขารับบทนำเป็นชายผู้ชอบแต่งหญิง ซึ่งเป็นรสนิยมส่วนตัวของเขาเอง), Bride of the Monster , และผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังที่สุดอย่าง Plan 9 from Outer Space
ระหว่างทาง เขาได้รวบรวม “ทีมงาน” สุดประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ ไม่ว่าจะเป็นนักมวยปล้ำชาวสวีเดน, หมอดูปลอมๆ, หรือนักแสดงสาวอกโต แต่ที่สำคัญที่สุดคือมิตรภาพอันน่าประทับใจที่เขามีต่อ เบลา ลูโกซี่ (รับบทโดย มาร์ติน แลนเดา) อดีตซูเปอร์สตาร์หนังสยองขวัญผู้รับบท “แดรกคูลา” ในตำนาน ที่ตอนนี้กลายเป็นชายชราผู้ตกอับและติดมอร์ฟีน เอ็ด วู้ด ได้มอบโอกาสสุดท้ายในชีวิตการแสดงให้กับฮีโร่ในวัยเด็กของเขา และสร้างสายสัมพันธ์ที่ทั้งน่าเศร้าและงดงาม
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
ผู้กำกับ: ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton)
นักแสดงนำ:
จอห์นนี่ เดปป์ (Johnny Depp) รับบท เอ็ด วู้ด
มาร์ติน แลนเดา (Martin Landau) รับบท เบลา ลูโกซี่
ซาราห์ เจสสิกา ปาร์กเกอร์ (Sarah Jessica Parker) รับบท โดโลเรส ฟูลเลอร์
แพทริเซีย อาร์เคว็ตต์ (Patricia Arquette) รับบท เคธี่ โอ’ฮารา
บิลล์ เมอร์เรย์ (Bill Murray) รับบท บันนี่ เบรกคินริดจ์
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง
รีวิวภาพรวม: ผลงานที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ “ทิม เบอร์ตัน”
“Ed Wood” คือภาพยนตร์ที่แตกต่างจากผลงานเรื่องอื่นๆ ของทิม เบอร์ตัน แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ “ดีที่สุด” และ “มีความเป็นส่วนตัวที่สุด” ของเขา หนังไม่ได้มีแค่ความตลกขบขันจากความห่วยแตกในการทำหนังของเอ็ด วู้ด แต่มันคือ “จดหมายรัก” ที่ทิม เบอร์ตัน มอบให้กับวงการภาพยนตร์, ให้กับคนนอกคอก, และให้กับทุกคนที่มี “ความฝัน” แต่ขาดซึ่งพรสวรรค์
การตัดสินใจถ่ายทำด้วย ภาพขาว-ดำ ทั้งเรื่องเป็นการคารวะหนังเกรด B ในยุค 50s ที่เอ็ด วู้ด สร้างได้อย่างสมบูรณ์แบบ การแสดงของ จอห์นนี่ เดปป์ ในบทเอ็ด วู้ด นั้นยอดเยี่ยมและเต็มไปด้วยพลังบวก เขาสามารถถ่ายทอดความมองโลกในแง่ดีที่ไม่เคยยอมแพ้ของตัวละครออกมาได้อย่างน่ารักน่าชัง
แต่การแสดงที่ต้องคารวะและเป็นจิตวิญญาณของหนังอย่างแท้จริงคือ มาร์ติน แลนเดา ในบท เบลา ลูโกซี่ เขาถ่ายทอดทั้งความยิ่งใหญ่ในอดีตและความน่าสมเพชในปัจจุบันของดาราผู้ตกอับออกมาได้อย่างน่าทึ่งและสะเทือนอารมณ์ จนทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี
รางวัลการันตีคุณภาพ:
ชนะเลิศ 2 รางวัลออสการ์: สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (มาร์ติน แลนเดา) และสาขาการแต่งหน้ายอดเยี่ยม
คะแนนจากนักวิจารณ์:
IMDb: 7.8/10
Rotten Tomatoes: 92% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
oshram
⭐ 6/10
ค่อนข้างน่าอายที่ต้องยอมรับว่ากว่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ใช้เวลาตั้งสิบปี จริงๆ แล้วผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของทิม เบอร์ตัน และถึงจะไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกับเขาเลย แต่ผมเพิ่งเริ่มชอบผลงานของจอห์นนี่ เดปป์ได้ไม่นานนี้เอง เมื่อพิจารณาจากเนื้อเรื่องแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่หนังที่ผมสนใจมานานแล้ว แต่บางครั้งสิ่งดีๆ ก็คุ้มค่ากับการรอคอย แน่นอนว่า เอ็ด วูด ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตในฮอลลีวูดผ่านตัวละครหลัก เขาเป็นตัวละครที่เพี้ยนๆ คนหนึ่ง เขาเป็นคนแต่งตัวเป็นผู้หญิงแต่หลงใหลขนแองโกร่า วูดสร้างหนังห่วยๆ ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง Plan Nine From Outer Space ก่อนจะผันตัวมาทำหนังโป๊ห่วยๆ ในช่วงบั้นปลายชีวิต เรื่องราวนี้ไม่ได้มีความสุขเสมอไป และเบอร์ตันก็เล่าเรื่องราวนี้ได้อย่างชาญฉลาดเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกของเอ็ด เรื่อง Glen or Glenda ไปจนถึงรอบปฐมทัศน์ของ Plan Nine
แต่ความรักที่เบอร์ตันมีต่อวูดและภาพยนตร์ของเขานั้นเปล่งประกายออกมาในทุกเฟรม แม้ว่าผมจะมองว่าเบอร์ตันเป็นผู้กำกับที่มีศิลปะโดยไม่จำเป็น แต่ในเรื่องนี้ แนวโน้มนี้กลับช่วยเขาได้อย่างมาก เพราะเขาสามารถสร้างสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับคนที่เล่นเหมือนกับภาพยนตร์ของพวกเขา (มังกรอันน่าสะพรึงกลัวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ไม่ควรทำเช่นนั้น) ถ่ายทำเป็นภาพขาวดำทั้งหมด เราจึงเห็นเหล่าตัวประหลาดของวูด ไม่ใช่ในแบบที่พวกเขาเป็น แต่เป็นในแบบที่เอ็ดน่าจะมองเห็น ผ่านตัวกรองที่แปลกประหลาดที่เขาน่าจะใช้มองชีวิต
เดปป์แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในเรื่องนี้ อาจจะดีกว่าที่เขาแสดงใน Pirates of the Caribbean ด้วยซ้ำ เขาถ่ายทอดความกระตือรือร้นและมุมมองที่ลำเอียงของวูดออกมาได้ แต่เขาแสดงออกด้วยความรักและมองโลกในแง่ดี วูดยอมรับอย่างที่เราก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเป็นคนเพี้ยนๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่ลง อันที่จริง เดปป์ทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมัน และนั่นคือความหลงใหลนั่นเองที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชีวิตชีวาขึ้น ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหากแทบทุกคนต่างก็แข็งแกร่งมาก ตั้งแต่คริสเวลล์ ‘ผู้มีพลังจิต’ เพี้ยนๆ ของเจฟฟรีย์ โจนส์ ไปจนถึงบันนี่ เบรกเคนริดจ์ ของบิล เมอร์เรย์ ที่มักพูดถึงการแปลงเพศแต่ไม่เคยทำ จอร์จ ‘เดอะ แอนิมอล’ สตีล ถ่ายทอดบทบาททอร์ จอห์นสันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแม้แต่ลิซ่า มารีก็แสดงบทแวมไพร์ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ เหนือกว่าแม้แต่เดปป์ คือมาร์ติน แลนเดาในบทเบล่า ลูโกซี เขาได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้ และสมควรได้รับอย่างยิ่ง เขานำเสนอลูโกซีในช่วงบั้นปลายชีวิต ผู้ที่ล้มเหลว เป็นเพียงเปลือกนอกที่เคยเป็นดาราดัง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงผู้ติดยา แลนเดาแทบจะหายตัวไปในบทบาทนี้ และสิ่งที่คุณเห็นคือลูโกซี ทุกอณูของความโศกเศร้าของเขา อีกครั้งที่เราได้เห็นเขาไม่ใช่แค่ในตัวตนที่เขาเป็น แต่ยังรวมถึงวิธีที่วูดและแม้แต่เบอร์ตันมองเห็นเขาด้วย และผลลัพธ์ก็ยอดเยี่ยมมาก มีสุนทรพจน์หนึ่งที่ลูโกซีกล่าวซ้ำสุนทรพจน์ที่วูดเขียนให้เขาเกี่ยวกับครั้งหนึ่งที่เคยเป็นเจ้าแห่งโลกแต่ตอนนี้กำลังจะกลับมา ซึ่งชวนให้หลอนเป็นพิเศษ และแลนเดาก็น่าติดตามอย่างยิ่ง
เอ็ด วูดเป็นหนังที่หาดูได้ยาก มันคือหนังของทิม เบอร์ตันที่ไม่ได้เว่อร์วังอลังการ เป็นหนังเกี่ยวกับฮอลลีวูด (ประมาณนั้น) ที่ไม่หลงตัวเอง เป็นหนังที่ชวนคิดถึงอดีตที่ไม่ซึ้งจนเกินไป แต่ก็ยังอบอุ่นและใส่ใจอย่างมาก และโดยรวมแล้วเป็นหนังที่ทำได้ดีอย่างน่าทึ่ง ผมประทับใจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเดปป์และแลนเดา แต่จริง ๆ แล้วประทับใจกับทั้งเรื่อง ที่มนุษย์ที่เพี้ยน ๆ เช่นนี้สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสร้างสรรค์และเปี่ยมไปด้วยความรัก เอ็ด วูดเป็นเสมือนเครื่องบรรณาการให้กับเรื่องราว และในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ ด้าน หนังก็ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม หากคุณพลาดหนังเรื่องนี้ไป เหมือนกับที่ผมเพิ่งพลาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ คุณควรไปดูให้ได้ มันเป็นเพียงผลงานภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์ เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
The Disaster Artist (2017) : เรื่องราวการสร้างหนัง “ยอดแย่” ในตำนานอีกเรื่องอย่าง The Room ที่มีธีมคล้ายกันมาก
Dolemite Is My Name (2019) : เรื่องจริงสุดฮาของ รูดี้ เรย์ มัวร์ ผู้สร้างหนัง Blaxploitation สุดคัลท์ในยุค 70s นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี
Hugo (2011) : จดหมายรักถึงยุคบุกเบิกของวงการภาพยนตร์โดยผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: เอ็ด วู้ด มีตัวตนจริงหรือไม่ และหนังของเขาห่วยจริงหรือ?
A: มีตัวตนจริงครับ! และหนังของเขาก็ได้รับการยอมรับ (หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว) ว่า “ห่วย” อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะเรื่อง Plan 9 from Outer Space ที่มักจะถูกโหวตให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดแย่ที่สุดตลอดกาลอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความ “คัลท์” ที่ทำให้มีแฟนๆ ชื่นชอบในความพยายามของเขาครับ
Q: ทำไมหนังชีวประวัติเรื่องนี้ถึงถ่ายทำเป็นภาพขาว-ดำ?
A: เป็นความตั้งใจของ ทิม เบอร์ตัน ที่ต้องการจะคารวะสไตล์ของหนังเกรด B, หนังสยองขวัญ, และหนังไซไฟในยุค 1950s ที่เอ็ด วู้ด สร้างขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังขาว-ดำทุนต่ำครับ
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกหรือหนังดราม่ากันแน่?
A: เป็นการผสมผสานของทั้งสองแนวครับ หนังมีอารมณ์ขันที่เกิดจากสถานการณ์การทำหนังสุดชุ่ยของเอ็ด วู้ด แต่ในขณะเดียวกันก็มีพาร์ทดราม่าที่น่าเศร้าและสะเทือนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ดกับเบลา ลูโกซี่