ดูหนัง Enemy at the Gates (2001) กระสุนสังหารพลิกโลก
ทุกท่าน! หากคุณกำลังมองหา “หนังสงคราม” ที่เป็นมากกว่าแค่ฉากรบยิงกันสนั่นจอ แต่เป็นหนังที่เน้นการชิงไหวชิงพริบ, สงครามจิตวิทยา, และความตึงเครียดระดับขีดสุด วันนี้คุณมาถูกทางแล้ว! Enemy at the Gates คือภาพยนตร์ที่หยิบเอาสมรภูมิสตาลินกราดอันโหดเหี้ยม มาเล่าใหม่ในรูปแบบของ “เกมแมวไล่จับหนู” ระหว่างสองเพชฌฆาตไร้เงา ที่การดวลของพวกเขาสามารถเปลี่ยนขวัญกำลังใจของกองทัพทั้งสองฝ่ายได้
ฉากหลังทางประวัติศาสตร์: ยุทธการที่สตาลินกราด
หนังมีฉากหลังเกิดขึ้นใน “ยุทธการที่สตาลินกราด” (1942-1943) การต่อสู้ระหว่างกองทัพนาซีเยอรมันและสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในการรบที่นองเลือดและสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ชัยชนะของโซเวียตในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องย่อ กระสุนสังหารพลิกโลก
วาซิลี ไซเซฟ (จู๊ด ลอว์) หนุ่มเลี้ยงแกะธรรมดาจากเทือกเขาอูราล ถูกส่งมาเป็นทหารเกณฑ์ในสมรภูมินรกแห่งสตาลินกราด ท่ามกลางความตายและความโกลาหล พรสวรรค์ในการยิงปืนอันน่าทึ่งของเขาได้ไปเข้าตา ดานิลอฟ (โจเซฟ ไฟนส์) นายทหารฝ่ายการเมืองของโซเวียต ดานิลอฟมองเห็นโอกาสที่จะสร้าง “วีรบุรุษ” ขึ้นมาเพื่อปลุกขวัญกำลังใจของทหารและประชาชนที่กำลังสิ้นหวัง เขาจึงเริ่มใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อสร้างเรื่องราวของวาซิลีให้กลายเป็นสไนเปอร์มือหนึ่งระดับตำนานผู้สังหารนายทหารนาซีไปแล้วนับไม่ถ้วน
ชื่อเสียงของวาซิลีโด่งดังไปถึงหูของกองบัญชาการเยอรมัน ทำให้พวกเขาต้องส่งไพ่ไม้ตายที่ดีที่สุดมาจัดการโดยเฉพาะ นั่นคือ พันตรีเคอนิช (เอ็ด แฮร์ริส) สุดยอดสไนเปอร์ชั้นสูงผู้เยือกเย็นและไร้ความปรานีจากเยอรมนี ซากปรักหักพังของเมืองสตาลินกราดได้กลายเป็นสนามล่าขนาดมหึมา การดวลกันระหว่างสองสุดยอดสไนเปอร์จึงเริ่มต้นขึ้น โดยมีศักดิ์ศรีและขวัญกำลังใจของกองทัพทั้งสองฝ่ายเป็นเดิมพัน ท่ามกลางสงครามปืนและสงครามจิตวิทยา เรื่องราวความรักสามเส้าระหว่าง วาซิลี, ดานิลอฟ, และ ทาเนีย (ราเชล ไวสซ์) พลซุ่มยิงสาว ก็ได้ก่อตัวขึ้นและกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในสมรภูมินี้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- จู๊ด ลอว์ (Jude Law) รับบทเป็น วาซิลี ไซเซฟ สไนเปอร์ผู้ถ่อมตน
- เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) รับบทเป็น พันตรีเคอนิช คู่ปรับที่น่าเกรงขามและเยือกเย็น
- ราเชล ไวสซ์ (Rachel Weisz) รับบทเป็น ทาเนีย
- โจเซฟ ไฟนส์ (Joseph Fiennes) รับบทเป็น ดานิลอฟ
- ผู้กำกับ: ฌอง-ฌาคส์ อันโนด์ (Jean-Jacques Annaud) ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างภาพยนตร์ที่มสเกลยิ่งใหญ่และภาพสวยงามตระการตา (เช่น Seven Years in Tibet)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Enemy at the Gates ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างบรรยากาศของ “การล่า” ที่กดดันและน่าติดตาม ฉากเปิดเรื่องที่กองทัพโซเวียตถูกส่งไปตายที่ริมแม่น้ำโวลก้านั้น ดิบเถื่อนและน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้ฉากยกพลขึ้นบกใน Saving Private Ryan เลยทีเดียว แต่หัวใจของหนังคือ “การดวลสไนเปอร์” ซึ่งผู้กำกับทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม มันคือการต่อสู้ที่ใช้ความอดทน, การวางแผน, และจิตวิทยา มากกว่าการสาดกระสุนเข้าใส่กัน ทุกฉากที่ทั้งสองคนพยายามจะหาตำแหน่งของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ทำให้ผู้ชมต้องลุ้นจนตัวโก่ง อย่างไรก็ตาม หนังถูกวิจารณ์ในแง่ของ “เรื่องราวความรักสามเส้า” ที่หลายคนมองว่าถูกใส่เข้ามาอย่างไม่จำเป็นและทำให้ความเข้มข้นของการดวลหลักลดลงไปบ้าง
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.6/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ที่ 54% ซึ่งเป็นคะแนนที่เสียงแตก แต่คะแนนจากฝั่งผู้ชม (Audience Score) สูงถึง 85% ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านี่คือหนังสงครามขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริง
Jonathan-13
⭐ 7/10
หนังเรื่องนี้ติดท็อป 5 หนังสงครามตลอดกาลของผมเลยทีเดียว ถ่ายทอดภาพการรบที่ดุเดือดและสมจริงของหนึ่งในสมรภูมิที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สงคราม นั่นคือการแย่งชิงเมืองสตาลินกราดในช่วงปี 1942-43 มีการพูดถึงนักแสดงที่ใช้สำเนียงพื้นเมืองของพวกเขากันมากมาย แต่นี่ดูเหมือนจะเป็นข้อตำหนิเล็กๆ น้อยๆ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ! ที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการพูดอันยอดเยี่ยมของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นเสียงชื่นชมยินดีอย่างสุดซึ้งของบ็อบ ฮอสกินส์ในบทนิกิตา ครุสชอฟ ชาวนาชาวยูเครน; น้ำเสียงอันโอ่อ่าและภาคภูมิใจของโจเซฟ ไฟนส์ในบทเจ้าหน้าที่การเมือง; จู๊ด ลอว์ในบทสามัญชนผู้ผันตัวมาเป็นทหาร; เอ็ด แฮร์ริสในบทนายทหารเยอรมันที่เฉียบคมและเฉียบคม นี่คือหนังที่ดีที่สุดของปีนี้ (สิงหาคม) ที่ผมเลือกมา มันคือผลงานชิ้นเอกทางภาพยนตร์อย่างแท้จริง ด้วยฉากความรุนแรงของสงครามที่น่าสะพรึงกลัว บทสนทนาที่ยอดเยี่ยม และโศกนาฏกรรมที่บีบคั้นหัวใจ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความประทับใจนี้ได้เลย
mholmez
⭐ 7/10
หากคุณตั้งใจดูหนังเรื่องนี้โดยหวังว่าจะได้เห็นภาพสมรภูมิสตาลินกราดอย่างถูกต้องตามประวัติศาสตร์ ลองหาสารคดีมาดู แต่ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์ภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นและเข้มข้น ซึ่งดำเนินเรื่องในเมืองสตาลินกราด ก็ลองหาดูได้เลย เพราะรับรองว่าสนุกแน่นอน หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของมือปืนตัวจริงอย่างวาซิลี ไซตเซฟ ที่รับบทโดยจู๊ด ลอว์ และวีรกรรมของเขาในสมรภูมิอันโด่งดัง ช่วงต้นเรื่องเต็มไปด้วยความโกลาหล เมื่อพระเอกของเราถูกส่งไปแนวหน้า และเราได้เห็นเมืองที่ถูกปิดล้อมและน่าอับอายนี้เป็นครั้งแรก แค่ฉากเปิดเรื่องก็คุ้มค่าที่จะดูแล้ว ซึ่งทำออกมาได้ดีเยี่ยมในทุกแง่มุม และถ่ายทอดความน่าสะพรึงกลัวบางอย่างที่กองทัพโซเวียตอาจเคยพบเจอเมื่อเดินทางมาถึงที่นั่น โดยรวมแล้ว หนังสงครามเรื่องนี้สนุกมาก ใช้ CGI ได้อย่างยอดเยี่ยมในยุคนั้น ทุกอย่างถ่ายทำออกมาได้ดี ฉากประกอบสวยงาม แม้แต่การแสดงและตัวละครก็ทำได้ดี ทั้งหมดที่กล่าวมา แน่นอนว่านี่เป็นผลงานของฮอลลีวูด อย่าคาดหวังความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มากนัก และควรคาดหวังเรื่องราวความรักที่ไร้สาระ (แม้จะไม่แย่ที่สุด) และทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงรัสเซียและเยอรมันที่ไม่ไพเราะ
sisko2374
⭐ 7/10
“ศัตรูที่ประตูเมือง” โดยวิลเลียม เครก เป็นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของยุทธการที่สตาลินกราด ซึ่งได้รับการเล่าขานโดยผู้เข้าร่วมที่ยังมีชีวิตอยู่ “สงครามหนู” เป็นละครที่ทรงพลังและกินใจเกี่ยวกับไซต์เซฟและพลแม่นปืนโซเวียตที่ต่อสู้ที่สตาลินกราด รวมถึงชาวเยอรมันที่ต่อต้านพวกเขา ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะอิงจากนวนิยายอย่างน้อยก็หนึ่งเรื่อง ผมรู้สึกขยะแขยงเมื่อพบว่าผู้สร้าง/ผู้กำกับ/นักเขียนเลือกที่จะโยนหนังสือที่น่าจดจำทั้งสองเล่มทิ้งไป แล้วสร้างวิสัยทัศน์ของตนเองเกี่ยวกับการรบที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกทางประวัติศาสตร์ใดๆ เลย แทนที่เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของหนังสือทั้งสองเล่มด้วยแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่จืดชืดและซ้ำซาก ผู้ชมภาพยนตร์ไม่ได้เข้าใจถึงความซับซ้อนของเหตุผลที่ทหารโซเวียตต่อสู้และเอาชนะชาวเยอรมันที่สตาลินกราด ในทางกลับกัน เรากลับได้รับความรู้สึกว่าเหตุผลเดียวที่ทหารโซเวียตต่อสู้ที่นั่นเป็นเพราะภัยคุกคามจากการถูก “หน่วยสกัดกั้น” ของสตาลินยิงด้วยปืนกล ทันใดนั้น ผู้บัญชาการทหารคนหนึ่งก็เกิดความคิดอันชาญฉลาดที่จะ “สร้างวีรบุรุษผู้เป็นแบบอย่าง” และการต่อสู้ทั้งหมดก็พลิกผันไปสู่วาซิลี ไซตเซฟ ไม่มีการแสดงวีรกรรมที่แท้จริงอื่นๆ ที่สตาลินกราด เช่น เหล่าทหารที่ยืนหยัดอยู่นานถึง 53 วันใน “บ้านของพาฟลอฟ”
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่หลักของการประชาสัมพันธ์ของไซตเซฟในหนังสือพิมพ์กองทัพแดงก็คือการเผยแพร่เทคนิคการซุ่มยิงให้แพร่หลาย เรื่องนี้ไม่ได้ถูกนำเสนอ รวมถึงโรงเรียนฝึกซุ่มยิงที่ตั้งขึ้นเพื่อ “ผลิตพลซุ่มยิงจำนวนมาก” เพื่อก่อกวนชาวเยอรมัน วีรกรรมอันกล้าหาญและการผจญภัยอันน่าสะพรึงกลัวของทาเนีย เชอร์นอฟตัวจริงไม่เคยถูกกล่าวถึง เธอถูกพัดออกจากเรือในแม่น้ำโวลก้า รอดชีวิตจากการเดินทางผ่านท่อระบายน้ำ เบื้องหลังแนวรบเยอรมัน ความรับผิดชอบของเธอต่อการสูญเสียเพื่อนพลซุ่มยิงหลายคน และความโกรธแค้นที่ไซตเซฟมีต่อเธอ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฉากที่งดงาม ความตึงเครียดและความระทึกขวัญของพลซุ่มยิงที่ไล่ล่ากันหลายวันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงแง่มุมระยะไกลของการดวลปืนเหล่านี้ ฉากสุดไร้สาระในตอนจบที่โคนิกและไซท์เซฟเผชิญหน้ากันแบบ “High Noon” นั้นช่างไร้สาระ ไม่มีพลซุ่มยิงคนไหนที่จะเปิดเผยตัวเองแบบนั้น นับประสาอะไรกับการต่อสู้กับทหารที่ช่ำชองในตอนนั้น แม้แต่ชาวเยอรมันก็ตาม คำพูดจืดชืดของผู้บัญชาการดานิลอฟในตอนท้ายที่ว่า “จะมีคนรวยและคนจนอยู่เสมอ” ดูเหมือนจะถูกใส่เข้ามาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ชมว่าผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างไม่ได้เห็นอกเห็นใจ “ลัทธิคอมมิวนิสต์”
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังสงครามที่เน้นความกดดันและเรื่องราวของหน่วยพิเศษ เราขอแนะนำ:
- Saving Private Ryan (1998): มหากาพย์หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สมจริงและสะเทือนอารมณ์ที่สุดเรื่องหนึ่ง
- American Sniper (2014): หนังชีวประวัติของสไนเปอร์มือหนึ่งในยุคปัจจุบัน ที่เน้นผลกระทบทางจิตใจของสงคราม
- The Hurt Locker (2008): หนังสงครามที่เน้นความกดดันของหน่วยเก็บกู้ระเบิดในอิรัก
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงหรือไม่?
A: “ได้รับแรงบันดาลใจ” จากเรื่องจริงครับ วาซิลี ไซเซฟ มีตัวตนอยู่จริงและเป็นวีรบุรุษสไนเปอร์ของโซเวียตจริงๆ แต่ตัวละครพันตรีเคอนิชและการดวลกันตัวต่อตัวนั้นเชื่อกันว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับภาพยนตร์ครับ
Q: หนังเรื่องนี้เน้นแอ็คชั่นยิงกันทั้งเรื่องหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่ครับ แม้จะมีฉากรบที่ยิ่งใหญ่ แต่แก่นของเรื่องคือ “ทริลเลอร์-จิตวิทยา” ที่ดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า เน้นสร้างความตึงเครียดจากการรอคอยและการวางแผน มากกว่าการยิงกันไม่หยุด
Q: ทำไมนักแสดงถึงไม่พูดสำเนียงรัสเซียหรือเยอรมัน?
A: เป็นความตั้งใจของผู้กำกับครับ แทนที่จะให้นักแสดงพยายามพูดสำเนียที่อาจจะออกมาไม่ดี เขาเลือกที่จะให้นักแสดงใช้สำเนียงปกติของตัวเองเพื่อจะได้มุ่งเน้นไปที่การแสดงอารมณ์อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันบ่อยในหนังประวัติศาสตร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษครับ
บทสรุป: Enemy at the Gates คือภาพยนตร์สงครามที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มันประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะหนังทริลเลอร์สุดกดดันที่เล่าเรื่อง “สงครามย่อย” ภายใน “สงครามใหญ่” ได้อย่างน่าทึ่ง หากคุณกำลังมองหาหนังสงครามที่จะทำให้คุณลุ้นจนลืมหายใจ นี่คือผลงานที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง