นักแสดงและผู้กำกับ
- นักแสดงหลัก:
- ผู้กำกับ:
- เกรกอรี่ ฮอบลิต (Gregory Hoblit) (ผู้กำกับจาก Primal Fear)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพยนตร์
“Frequency” คือตัวอย่างชั้นเยี่ยมของภาพยนตร์ที่ผสมผสานหลายแนวทางเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกล่อมและสมบูรณ์แบบ
- พล็อตเรื่องสุดชาญฉลาด: หัวใจของหนังคือคอนเซ็ปต์การสื่อสารข้ามเวลาที่แข็งแรงและน่าติดตาม การแก้ไขอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบันถูกนำเสนออย่างมีชั้นเชิง ทำให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าการกระทำของแฟรงค์ในอดีตจะเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกของจอห์นบ้าง
- การผสมผสานแนวหนัง: หนังเรื่องนี้เป็นทั้งไซไฟ-ทริลเลอร์ในการไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่อง, เป็นหนังดราม่าครอบครัวที่ซาบซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก และยังมีกลิ่นอายของหนังตำรวจสืบสวนสอบสวนอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน
- การแสดงที่น่าจดจำ: เคมีระหว่าง เดนนิส เควด และ จิม คาวีเซล นั้นยอดเยี่ยมมาก แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เข้าฉากด้วยกันเลย แต่เราสามารถสัมผัสได้ถึงสายใยความผูกพันของพ่อลูกผ่านบทสนทนาทางวิทยุได้อย่างลึกซึ้ง
- คะแนนจากนักวิจารณ์: ได้รับคะแนน มะเขือเทศสด 70% จาก Rotten Tomatoes และคะแนน 7.3/10 จาก IMDb ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนังที่ได้รับคำชื่นชมในวงกว้าง
หมื่นทิพ
🤩 8/10
ในบรรดาหนังที่มีเนื้อหาว่าด้วย “การทะลุเวลา – แก้อดีต – เปลี่ยนอนาคต” ที่ผมโปรดสุดๆ เป็นเรื่องแรกในชีวิต ก็หนีไม่พ้น ไตรภาค Back to the Future ส่วนเรื่องต่อมาก็อยากขอยกตำแหน่งให้กับหนังเรื่อง Frequency นี้ครับ ตอนดูรอบแรกชอบมาก ดูซ้ำก็ชอบอยู่ จนตอนนี้ดูอีกก็ยังชอบอีก แสดงว่าหนังเรื่องนี้มีดีแบบไม่จำกัดช่วงเวลา เนื้อหาเล่าง่ายๆ ก็คือ จอห์น ซัลลิแวน (Jim Caviezel) ตำรวจหนุ่มผู้สูญเสียพ่อ(Dennis Quaid) ซึ่งเป็นนักดับเพลิงไปตั้งแต่เขายังเล็กๆ แต่แล้วจู่ๆ วิทยุเครื่องโปรดของพ่อที่เขาเก็บไว้ เกิดสามารถส่งสัญญาณข้ามเวลาไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ทำให้จอห์น สามารถคุยกับพ่อได้ ในตอนแรกทั้งคู่ก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริง แต่หลังจากการพิสูจน์ทำให้พ่อลูกคู่นี้แน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ได้ฝันไป เขากำลังส่งเสียงข้ามเวลาสนทนากันอยู่จริงๆ
และสิ่งที่จอห์นอยากทำที่สุดก็คือการเปลี่ยนอดีตครับ ให้พ่อของเขารอดจากอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงานดับเพลิงเมื่อ 30 ปีก่อน… ใช่ครับ จอห์นทำได้ พ่อของเขารอด แต่นั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความตื่นเต้นและน่าติดตาม เพราะแม้พ่อของเขาจะรอดจากเหตุร้ายนั้นมาได้ เขากลับพบว่าพ่อยังคงต้องตายตั้งแต่ในอดีตอยู่ดี… แล้วเหตุการณ์ครั้งใหม่นี้มันคืออะไร จอห์นจะสืบหาสาเหตุเพื่อยับยั้งมันได้หรือไม่ แล้วสุดท้ายจอห์นกับพ่อจะได้พบกันจริงๆ สักครั้งหรือไม่… สนุกมว๊ากกกก ไม่รู้อาการชอบจะออกนอกหน้าไปหรือเปล่านะครับ แต่ผมชอบจริงๆ หนังทำได้สนุก น่าติดตาม และมีหลายแนวผสมรวมกันอยู่ในหนังเรื่องเดียว ไม่ว่าจะความสัมพันธ์พ่อลูก (แนวชีวิต) การสืบสวนตามปม (สืบสวนสอบสวน) ความตื่นเต้นลุ้นตัวเกร็ง (ระทึกขวัญ) และการเปลี่ยนไปมาของอดีตที่ส่งผลถึงอนาคต (ไซไฟ) ซึ่งแนวต่างๆ ในหนังถูกผสมกันอย่างดีครับ หนังค่อนข้างลงตัว สนุกครบรสทีเดียว
และแต่ละแนวในแต่ละช่วงนั้นหนังก็ทำได้ถึงนะครับ อยากเวลาพ่อลูกซัลลิแวนคุยกัน มันได้อารมณ์ความรัก ความห่วงใยแบบพ่อคุยกับลูกจริงๆ อันนี้ขอยกนิ้วให้ Caviezel กับ Quaid เลยครับ เล่นเข้ากันได้ดีมาก ผมชอบช่วงที่พวกเขาคุยกันไปหัวเราะไป มันได้อารมณ์มากๆ หรือยามซึ้งก็ชวนให้เกิดอารมณ์ซึ้งได้จริงๆ ยิ่งพวกเขาดูผูกพันกันเท่าไร คนดูอย่างเราๆ นี่แหละที่จะผูกพันตามไปแบบไม่รู้ตัว และถ้าเรารู้สึกผูกพันพวกเขาเมื่อไร ทีนี้ล่ะถ้าเกิดอะไรกับพวกเขาก็เป็นอันใจหายได้เหมือนกัน ด้านการสืบสวนตามคดีอันนี้ก็มีลุ้นเหมือนกันครับ ดูไปก็ลุ้นไปว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ และพวกเขาจะสามารถยับยั้งเรื่องร้ายได้ไหม ซึ่งจุดที่ทำให้การสืบสวนตามปมมันออกมาโอเคก็เพราะหนังใส่โจทย์ให้สองพ่อลูกช่วยกันแก้อยู่ตลอด เรียกว่ากว่าจะช่วยกันสำเร็จนี่ทั้งเหนื่อยทั้งเสี่ยงตาย และยิ่งพวกเขาเจอโจทย์ยากเท่าไร คนดูก็จะพลอยตื่นเต้นและพลอยเอาใจช่วยมากขึ้นไปอีก (อันนี้ก็เป็นอีกจุดที่ดึงให้คนดูผูกพัน)
ส่วนช่วงตื่นเต้นก็หายห่วงครับ ไคลแม็กซ์นี่ยิ่งลุ้นเลย ในขณะที่ช่วงไซไฟก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าหลักการเรื่อง “การเปลี่ยนอดีตเปลี่ยนอนาคต” ของหนังอาจมีบางจุดที่อ่อนเหตุผลสำหรับหลายๆ คนที่ดูหนังไซไฟมาเยอะ แต่ถ้าดูแบบไม่คิดมากผมว่า Toby Emmerich คนเขียนบทสามารถจับเอาเงื่อนไขเรื่องเวลาในแบบของหนังไซไฟมาใช้สร้างความสนุกเร้าใจให้กับหนังได้เป็นอย่างดี แต่เคล็ดลับการดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามคล้อยตามเรื่องราวไปเรื่อยๆ ครับ บางอย่างดูเวอร์ไปบ้างหรือดูเกินจริงไปนิด เราก็หยวนๆ บ้างอะไรบ้าง แล้วรับรองว่าความสนุกที่หนังมีให้จะไหลมาเทมาเอง หนังกำกับโดย Gregory Hoblit ที่มีหนังเด็ดในทำเนียบอย่าง Primal Fear ส่วนเรื่องนี้ผมก็ยกให้เป็นหนังที่มีความเด็ดไม่แพ้กันครับ ดีคนละแบบ แต่ก็สนุกทั้งคู่ มีอะไรให้ลุ้นให้ตื่นเต้นพอกันทั้งคู่ สามารถดึงอารมณ์คนดูไปขยี้ได้ทั้งคู่ และดูจบแล้วพอดูซ้ำก็ยังมีดีให้ชมทั้งคู่
TBJCSKCNRRQTreviews
⭐ 8/10
ไอเดียของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ ผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา/เส้นเวลาอื่นที่คิดมาอย่างดีขนาดนี้มาก่อนเลย ไอเดียมาจากการที่ตัวละครหลักสามารถสื่อสารกับพ่อของเขาที่เสียชีวิตไป 30 ปีแล้ว ซึ่งพ่อของเขาได้ยินเรื่องนี้เมื่อ 30 ปีก่อน พวกเขาทำสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในตอนนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาก็เปลี่ยนแปลงอนาคต (หรือปัจจุบัน) หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดวิธีการที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงอนาคตไปมาได้ดีมาก เนื้อเรื่องดีมาก การแสดงก็ยอดเยี่ยม และตัวละครทุกตัวก็ดูน่าเชื่อถือ เอฟเฟกต์พิเศษก็ดีมาก ไอเดียเบื้องหลังหนังดีมาก แต่การพัฒนาต่อยอดไปไกลกว่านั้นก็น่าทึ่งมาก ตอนจบ ถึงแม้บางคนอาจจะดูเชยไปหน่อย และก็ถือว่าเป็นตอนจบแบบฮอลลีวูดทั่วๆ ไป (บางคนอาจเรียกว่าเป็นการเลี่ยงความรับผิดชอบ) แต่ส่วนตัวผมคิดว่ามันได้ผลดีกว่าเรื่องอื่นๆ ฉันขอแนะนำเรื่องนี้ให้กับใครก็ตามที่สามารถดูหนังที่ต้องเก็บความไม่เชื่อเอาไว้ได้ โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องการเดินทางข้ามเวลาหรือเส้นเวลาอื่น เพราะในความคิดของฉันแล้ว เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 8/10
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบพล็อตเรื่องเกี่ยวกับการข้ามเวลาและการแก้ไขอดีต คุณอาจจะชอบเรื่องเหล่านี้:
- The Lake House (2006) – บ้านทะเลสาบ บ่มรักปาฏิหาริย์: ภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่า ที่พระเอกนางเอกสามารถติดต่อกันข้ามช่วงเวลา 2 ปี ผ่านตู้จดหมายวิเศษ
- Source Code (2011) – แฝงร่างขวางนรก: ไซไฟ-แอ็คชั่นสุดระทึก เกี่ยวกับทหารที่ถูกส่งเข้าไปในความทรงจำของชายคนหนึ่ง 8 นาทีก่อนตาย เพื่อหาตัวมือวางระเบิด
- About Time (2013) – ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก: หนังรอมคอม-แฟนตาซีสุดอบอุ่นหัวใจ ที่พระเอกสามารถย้อนเวลาได้ และเรียนรู้คุณค่าของชีวิตผ่านการย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งต่างๆ
Q&A คำถามน่ารู้เกี่ยวกับหนัง
Q: ตกลงแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวไหนกันแน่? ไซไฟ, ทริลเลอร์ หรือดราม่า?
A: เป็นทั้งหมดเลยครับ! และนั่นคือเสน่ห์ของ “Frequency” ที่สามารถนำองค์ประกอบของหนังไซไฟ (การสื่อสารข้ามเวลา), ทริลเลอร์ (การไล่ล่าฆาตกร) และดราม่า (ความสัมพันธ์ของพ่อลูก) มาหลอมรวมกันได้อย่างลงตัว
Q: ตรรกะเรื่องการเปลี่ยนแปลงอดีตในหนังสมเหตุสมผลหรือไม่?
A: หนังสร้างกฎของตัวเองขึ้นมาและยึดตามกฎนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่แฟรงค์ทำอะไรในอดีต ความทรงจำของจอห์นในปัจจุบันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามไป ซึ่งหนังนำเสนอภาพการเปลี่ยนแปลงนั้นออกมาได้น่าเชื่อถือและทำให้ผู้ชมคล้อยตามได้ครับ
Q: “Frequency” มีฉบับซีรีส์ด้วยใช่หรือไม่?
A: ใช่ ในปี 2016 ได้มีการนำพล็อตเรื่องนี้ไปสร้างเป็นทีวีซีรีส์ในชื่อเดียวกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดตัวละครเป็นพ่อกับลูกสาวแทน อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ถูกยกเลิกไปหลังจากออกอากาศได้เพียง 1 ซีซั่น