นักแสดงและผู้กำกับ
- นักแสดงหลัก:
- ลีห์ แม็คคลอสคีย์ (Leigh McCloskey) รับบทเป็น มาร์ค เอลเลียต
- ไอรีน มิราเคิล (Irene Miracle) รับบทเป็น โรส เอลเลียต
- เอเลโอโนรา จอร์จี (Eleonora Giorgi) รับบทเป็น ซาร่า
- ดาริโอ นิโคโลดี้ (Daria Nicolodi) รับบทเป็น เอลีส เดอ ลองวาลล์ สตอลโลน แวน
- ผู้กำกับ:
- ดาริโอ อาร์เจนโต (Dario Argento)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพยนตร์
“Inferno” คือภาคที่สองอย่างไม่เป็นทางการในไตรภาค “Three Mothers” ของดาริโอ อาร์เจนโต (ต่อจาก Suspiria ปี 1977) และเป็นผลงานที่แสดงถึงลายเซ็นของผู้กำกับได้อย่างชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่ง
- สุนทรียศาสตร์แห่งฝันร้าย: จุดเด่นที่สุดของหนังไม่ใช่พล็อตเรื่อง แต่เป็น “สไตล์” การกำกับภาพยนตร์ ดาริโอ อาร์เจนโต ใช้สีสันที่จัดจ้าน (โดยเฉพาะสีแดงและสีน้ำเงิน) การจัดแสงเงาที่แปลกตา และมุมกล้องที่ไม่ธรรมดา เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมือนฝันร้าย มันงดงามและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน
- ดนตรีประกอบสุดหลอน: ดนตรีประกอบโดย คีธ เอเมอร์สัน (Keith Emerson) มีความยิ่งใหญ่และหลอนประสาท ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศลึกลับและน่าสะพรึงกลัวให้กับหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ความสยองเหนือจริง: หนังไม่ได้ดำเนินเรื่องตามตรรกะปกติ แต่เป็นเหมือนการปะติดปะต่อของฉากฆาตกรรมและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่รุนแรงและโหดร้าย ฉากดำน้ำในห้องใต้ดินที่ถูกน้ำท่วม ถือเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำและสวยงามน่าพิศวงที่สุด
- คะแนนจากนักวิจารณ์: ได้รับคะแนน 6.5/10 จาก IMDb และ มะเขือเทศสด 65% จาก Rotten Tomatoes เป็นหนังที่อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมทั่วไป แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้หนังสยองขวัญสไตล์อิตาลี (Giallo) และแฟนผลงานของอาร์เจนโตแล้ว เรื่องนี้คือผลงานที่ต้องดู
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
ถือเป็นตอนที่ 2 ของหนังชุดไตรภาค 3 จอมแม่มด (Three Mothers Trilogy) ที่เริ่มด้วยเรื่อง Suspiria แล้วต่อด้วยเรื่องนี้ ก่อนจะไปจบที่เรื่อง The Mother of Tears ซึ่งทั้ง 3 เรื่องกำกับโดย Dario Argento ทั้งหมดครับ ไตรภาค 3 จอมแม่มด ก็เป็นตำนานที่ Argento ผูกขึ้นมาโดยอิงจากหนังสือ Suspiria de Profundis ของ Thomas de Quincey ว่าด้วยจอมแม่มด 3 ตนที่มีพลังอำนาจมหาศาลและหมายจะสร้างหายนะให้กับโลก โดยพวกนางมีถิ่นที่อยู่ต่างกันไป ตนหนึ่งอยู่โรม อีกตนอยู่เยอรมัน (ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุใน Suspiria) และอีกหนึ่งตนที่เยาว์ที่สุดอยู่ที่นิวยอร์ก ซึ่งก็คือจอมแม่มดที่เป็นวายร้ายประจำตอนนี้ เรื่องเริ่มเมื่อโรส (Irene Miracle) สาวน้อยนักกวีที่อยู่อาศัยในอาคารหลังงามกลางมหานครนิวยอร์ก ทีนี้วันหนึ่งเธอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ 3 จอมแม่มดเข้า และจากเนื้อหาก็เป็นไปได้ว่าอาคารที่เธออยู่นั่นแหละ คือที่ซ่อนของจอมแม่มดแห่งความมืด (Mater Tenebrarum หรือ The Lady of Darkness)
แต่เมื่อโรสรู้ความจริงนี้ก็ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย เธอเลยรีบส่งจดหมายบอกให้มาร์ค พี่ชายของเธอ (Leigh McCloskey) รีบเดินทางจากโรมมายังนิวยอร์ก เพื่อคุ้มครองเธอจากภัยร้าย แต่เมื่อมาร์คได้จดหมายและเดินทางมาถึงโรสก็หายตัวไป… และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มที่ทำให้มาร์คต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ในอาคารแห่งนี้ในที่สุด ตอนออกฉายนั้นหนังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักครับ ซึ่งมันมีที่มาที่ไปที่ฟังแล้วค่อนข้างน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ต้องย้อนเล่าไปเล็กน้อยครับ เริ่มจากตอนที่ Suspiria อันเป็นงานชิ้นก่อนหน้าของ Argento นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสวยงาม จนผู้จัดจำหน่ายอย่าง 20th Century Fox พอใจอย่างมาก ทำให้ทางผู้บริหารของ Fox ยินดีร่วมทุนสำหรับการทำ อันเป็นภาคต่อของ Suspiria แบบเต็มที่
แต่ปัญหาดันมาเกิดหลังสร้างเสร็จครับ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารของ Fox โดยชุดเก่าโดนถอดไป ส่วนชุดใหม่ที่เข้ามาแทนก็ตัดสินใจลอยแพหนังที่ผู้บริหารชุดเก่าอำนวยการสร้างไว้ทั้งหมด แน่นอนว่า Inferno ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งคาดกันว่าเพราะทีมงานใหม่ต้องการปรับทิศทางของบริษัท นั่นเลยทำให้กว่า จะออกสู่สายตาประชาชนจริงๆ ก็ปาเข้าไปปี 1985 และแม้จะได้ฉายโรงแต่ก็ได้ฉายแค่ไม่กี่โรง และได้ลงโรงแค่ราวๆ 1 สัปดาห์เท่านั้น… ใช่ครับ หนังเลยกลายสภาพจากหนังเต็งเป็นหนังเจ๊งไป แต่หากพูดกันถึงตัวหนังแล้ว ผมชอบนะครับ แม้หนังจะไม่สยองลงตัวมากเท่า Suspiria แต่ก็ทำได้น่าติดตาม มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ ด้านความน่ากลัวและตื่นเต้นก็ถือว่ามีในระดับที่ดีเลยล่ะครับ
จุดเด่นของหนังต้องยกให้โทนสีครับ อันนี้ใครเคยดู Suspiria มาก่อนคงจำได้ว่าหนังชอบเล่นกับโทนสีมากๆ (แดง, เขียว, ดำ) ซึ่งโทนสีนี้เองทำให้คนดูเกิดอารมณ์หลอนได้อย่างไม่ยากเย็น พอมาเรื่องนี้หนังก็มาในโทนน้ำเงิน ม่วง แดงครับ นี่ก็ดูหลอนแบบแปลกๆ เสริมอารมณ์ลึกลับให้กับหนังได้อย่างน่าปรบมือ ไหนจะงานสร้างออกแบบฉากที่ดูอลังการและลึกลับไปพร้อมๆ กัน ด้านเนื้อเรื่องก็ถือว่าทิ้งปมได้ดีครับ มันชวนติดตามไม่ใช่น้อย ฉากการฆ่าก็ถือว่าโหดชนิดที่ไม่เสียชื่อ Argento ต้องบอกว่าโดยรวมๆ หนังมันดูสนุกดีน่ะครับ เชื่อว่าคอหนังสยองน่าจะพอใจกัน และจากกระแสของผู้ชมแล้ว ตอนออกฉายแรกๆ ก็อาจมีบ่นๆ กันบ้างว่าไม่ถึงใจเท่า Suspiria แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนังก็ได้รับการยกย่องมากขึ้นๆ ว่าเป็นหนังสยองที่เล่นกับโทนสีได้ชวนหลอนดี และทุกวันนี้เราจะได้เห็นคอหนังสยองมากมายจัดอันดับเอาหนังเรื่องนี้ร่วมทำเนียบกับ Suspiria
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใครและภาพอันน่าตื่นตาของ “Inferno” ลองหาเรื่องเหล่านี้มาชมต่อได้เลย:
- Suspiria (1977): ภาคแรกในไตรภาค “Three Mothers” ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของดาริโอ อาร์เจนโต และเป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญที่ดีที่สุดตลอดกาล
- The Mother of Tears (2007): ภาคที่สามและภาคสุดท้ายของไตรภาค ที่จะมาปิดตำนานของแม่มดทั้งสาม
- Profondo Rosso (Deep Red) (1975): อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบแดงของอาร์เจนโตในแนว Giallo (หนังสืบสวนฆาตกรรมสไตล์อิตาลี) ที่เต็มไปด้วยสไตล์จัดจ้านและความโหด
- Beyond the Black Rainbow (2010): หนังสยองขวัญยุคใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากสไตล์ของอาร์เจนโตมาเต็มๆ โดดเด่นด้วยภาพที่สวยงามและบรรยากาศเหมือนฝัน
Q&A คำถามน่ารู้เกี่ยวกับหนัง
Q: ไตรภาค “Three Mothers” คืออะไร?
A: เป็นไตรภาคภาพยนตร์สยองขวัญเหนือธรรมชาติของผู้กำกับ ดาริโอ อาร์เจนโต ที่ไม่ได้มีเนื้อเรื่องต่อเนื่องกัน แต่เชื่อมโยงกันด้วยตำนานของแม่มดโบราณผู้ทรงอำนาจสามตนที่อาศัยอยู่ในบ้านสามหลังทั่วโลก ประกอบด้วย Suspiria (1977), Inferno (1980), และ The Mother of Tears (2007)
Q: ทำไมพล็อตเรื่องในหนังถึงดูไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน?
A: เพราะนี่คือสไตล์ของอาร์เจนโตครับ เขาให้ความสำคัญกับ “บรรยากาศ” และ “ภาพ” มากกว่าการเล่าเรื่องตามเหตุและผล เขาต้องการให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังติดอยู่ในฝันร้ายที่หาทางออกไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ อาจจะไม่ได้สมเหตุสมผลเสมอไป แต่จะเน้นการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกกลัวของผู้ชมเป็นหลัก
Q: หนังเรื่องนี้โหดและน่ากลัวมากไหม?
A: มีฉากฆาตกรรมที่ค่อนข้างรุนแรงและโจ่งแจ้งตามสไตล์หนังสยองขวัญอิตาลีในยุคนั้น แต่ความน่ากลัวของหนังจะมาจากบรรยากาศที่กดดันและความรู้สึกเหนือจริงมากกว่าการใช้ฉากตุ้งแช่ (Jump Scare)