ดูหนัง Kingdom of Heaven (2005) มหาศึกกู้แผ่นดิน
ทุกท่าน! หากคุณเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ จากเรื่อง Gladiator และชื่นชอบหนังสงครามสเกลใหญ่ยักษ์ วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” ที่เป็นเหมือนเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียระไนไม่เสร็จในตอนแรก แต่กลับมาฉายแสงอย่างเต็มที่ในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์! Kingdom of Heaven คือภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของอัศวิน, ศรัทธา, และสงครามได้อย่างยิ่งใหญ่และซับซ้อน
เรื่องย่อ
เรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 12 เบเลี่ยน (ออร์แลนโด บลูม) ช่างตีเหล็กชาวฝรั่งเศสผู้สิ้นหวังจากการสูญเสียภรรยาและลูกชาย ได้ค้นพบความจริงว่าเขาคือลูกนอกสมรสของ ก็อดฟรีย์แห่งไอบีลิน (เลียม นีสัน) อัศวินครูเสดผู้สูงศักดิ์ เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางติดตามพ่อไปยัง “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” นครเยรูซาเล็ม เพื่อไถ่บาปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่นั่น เขาได้พบกับนครที่น่าอัศจรรย์… สถานที่ที่ชาวคริสต์, มุสลิม, และยิว สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ภายใต้การปกครองของ กษัตริย์บอลด์วินที่ 4 (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) กษัตริย์หนุ่มผู้ปราดเปรื่องแต่ต้องทนทุกข์จากโรคเรื้อนและต้องสวมหน้ากากเงินไว้ตลอดเวลา แต่สันติภาพนั้นเปราะบาง เมื่อกลุ่มอัศวินคลั่งศาสนาที่นำโดย กี 드 ลูซินญ็อง และ เรย์โนลด์ เดอ ชาติยง พยายามจะจุดชนวนสงครามกับกองทัพมุสลิมอันยิ่งใหญ่ของสุลต่าน ศอลาฮุดดีน (ซาลาดิน) เบเลี่ยนจึงต้องลุกขึ้นมาในฐานะอัศวินคนใหม่ เพื่อปกป้องประชาชนและสันติภาพของนครเยรูซาเล็มจากการล่มสลาย movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- ออร์แลนโด บลูม (Orlando Bloom) รับบทเป็น เบเลี่ยนแห่งไอบีลิน
- เอวา กรีน (Eva Green) รับบทเป็น เจ้าหญิงซิบิลลา
- เลียม นีสัน (Liam Neeson) รับบทเป็น ก็อดฟรีย์แห่งไอบีลิน
- เจเรมี ไอออนส์ (Jeremy Irons) รับบทเป็น ไทบีเรียส
- เกร็ดน่ารู้: กษัตริย์บอลด์วินที่ 4 ผู้สวมหน้ากากเงินและมอบการแสดงที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่งในเรื่อง รับบทโดย “เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน” (Edward Norton) ซึ่งเขาขอที่จะไม่ใส่ชื่อตัวเองในเครดิต!
- ผู้กำกับ: ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ปรมาจารย์แห่งหนังมหากาพย์ ผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับตำนานอย่าง Gladiator, Blade Runner, และ Alien
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์: ทำไม Director’s Cut ถึงเป็นมาสเตอร์พีซ?
Kingdom of Heaven คือหนังที่มี 2 เวอร์ชั่นที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
- เวอร์ชั่นฉายโรง (Theatrical Cut): เวอร์ชั่นนี้ถูกสตูดิโอตัดต่อหั่นออกไปเกือบ 1 ชั่วโมง ทำให้พล็อตเรื่องขาดความต่อเนื่อง, ตัวละครเบเลี่ยนดูแบนราบไร้มิติ, และแรงจูงใจทางการเมืองต่างๆ ดูสับสน จนได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนัก (Rotten Tomatoes ให้คะแนนเพียง 39%)
- เวอร์ชั่น Director’s Cut: นี่คือ “เวอร์ชั่นที่แท้จริง” และเป็น “มาสเตอร์พีซ” การเพิ่มฉากต่างๆ กลับเข้ามา ทำให้หนังมีความลึกซึ้งและสมบูรณ์ขึ้นอย่างมหาศาล เราเข้าใจในพัฒนาการของเบเลี่ยน, เข้าใจในโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงซิบิลลา, และเข้าใจในเกมการเมืองที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน มันเปลี่ยนจากหนังแอ็คชั่นธรรมดาให้กลายเป็นมหากาพย์ดราม่า-การเมืองที่ยอดเยี่ยม
หากคุณจะดูหนังเรื่องนี้ คุณต้องดูเวอร์ชั่น Director’s Cut เท่านั้น! เพราะมันคือหนังคนละเรื่องกันจริงๆ
- IMDb: ให้คะแนน 7.2/10 (ส่วนใหญ่มาจากคนที่ได้ดู Director’s Cut)
- Rotten Tomatoes: 39% (สำหรับเวอร์ชั่นโรง)
Walter_Probinsky
⭐ 6/10
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสองเวอร์ชันที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านผลกระทบและความหมายทางอารมณ์ เวอร์ชันที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นการตัดต่อในสตูดิโอที่ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ส่วนเวอร์ชัน Director’s Cut เป็นการตัดต่อที่ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งออกฉายในภายหลัง ผมดูทั้งสองเวอร์ชันติดต่อกัน และแน่นอนว่าเวอร์ชัน Director’s Cut นั้นเหนือกว่า ไม่ใช่แค่การเพิ่มฟุตเทจเข้าไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้น แต่ยังเพิ่มความรู้สึกให้กับภาพยนตร์อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดภาพยุคสงครามครูเสดในยุคกลางที่รุนแรงและดิบเถื่อน แต่กลับนำเสนอประเด็นที่ซับซ้อนอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับศรัทธา ศีลธรรม ความยุติธรรม และความหลากหลาย รวมถึงความหมายของการใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรม เห็นได้ชัดว่าสตูดิโอตัดสินใจว่าความลึกซึ้งของธีมเช่นนี้เป็นข้อเสีย และผู้ชมส่วนใหญ่เป็นคนโง่เขลาผิวเผิน จึงยืนกรานให้มีการตัดต่อที่นำเสนอเป็นภาพยนตร์แอคชั่น โดยเหลือการพัฒนาตัวละครไว้เพียงพอที่จะเชื่อมโยงฉากแอคชั่นเข้าด้วยกันได้อย่างอ่อนแอ ในกระบวนการนี้ ไม่เพียงแต่แรงจูงใจของตัวละครจะสูญหายไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพัฒนาการสำคัญของเนื้อเรื่องด้วย
หลังจากดูฉบับตัดต่อที่สั้นกว่าก่อน ซึ่งดูเหมือนจะขาดความต่อเนื่องและเต็มไปด้วยช่องโหว่ของการตัดต่อที่ห่วยแตก ผมต้องไปหาเรื่องย่อของหนังออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจว่าผมดูอะไรไปบ้าง ในฉบับตัดต่อของผู้กำกับนั้นชัดเจนกว่ามาก แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือพัฒนาการของตัวละครและฉากบทสนทนาที่ชวนให้ขบคิดตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งช่วยถ่ายทอดยุคสมัยอันแสนเก่าแก่ได้อย่างชาญฉลาด ในตอนท้ายของการตัดต่อในสตูดิโอ ผมรู้สึกหมดแรงบันดาลใจและรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้พลาดโอกาสสำคัญๆ ไปหลายอย่าง ในตอนท้ายของฉบับตัดต่อของผู้กำกับ ผมรู้สึกว่าผมได้เห็นหนังจริงๆ ที่มีไอเดียจริงๆ และผมก็คิดถึงมัน
halfred
⭐ 6/10
ประการแรก: คว้าฉบับผู้กำกับมาเลย ฉบับฉายโรงมีการตัดฉากยาว 45 นาที หนังเรื่องนี้จะไร้ความหมายหากไม่มีเนื้อหาเหล่านั้น ด้วยความยาว 45 นาทีที่รวมอยู่ด้วย หนังเรื่องนี้จึงเป็นมหากาพย์ที่น่าติดตาม ถ่ายทำได้ยอดเยี่ยม และการแสดงที่ยอดเยี่ยม (ถึงแม้ออร์แลนโด บลูมจะทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็มีนักแสดงสมทบที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ที่แสดงได้อย่างน่าประทับใจทั้งร่างกายและเสียงในบทบาทกษัตริย์ขี้เรื้อนที่ปกปิดใบหน้าไว้ตลอดเวลา) ประการที่สอง: ปฏิเสธความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ หากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามครูเสดและยุคสมัยนี้ หนังเรื่องนี้อาจจะทำให้คุณผิดหวัง ทุกองค์ประกอบล้วนมีรากฐานมาจากเหตุการณ์จริง แต่ถูกบิดเบือนและนำไปใช้เป็นบทเรียนทางศีลธรรมสมัยใหม่
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังมหากาพย์สงครามอิงประวัติศาสตร์ เราขอแนะนำ:
- Gladiator (2000): ผลงานเรื่องก่อนหน้าของผู้กำกับคนเดียวกัน ที่เป็นมาสเตอร์พีซของหนังแนวนักรบโรมัน
- Braveheart (1995) วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ: มหากาพย์อีกเรื่องที่ว่าด้วยวีรบุรุษผู้ลุกขึ้นสู้เพื่ออิสรภาพ
- Troy (2004) ทรอย: หนังมหากาพย์อีกเรื่องที่ออกฉายในยุคเดียวกันและเต็มไปด้วยดาราและฉากรบสุดอลังการ
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ต้องดูเวอร์ชั่น Director’s Cut จริงๆ เหรอ? มันต่างกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
A: จริงแท้และแน่นอน 100%! ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่ามันคือหนังคนละเรื่อง เวอร์ชั่นฉายโรงคือหนังแอ็คชั่นที่พอดูได้ แต่ Director’s Cut คือมหากาพย์ดราม่า-การเมืองที่ยอดเยี่ยม เป็นหนึ่งในตัวอย่างการ “แก้ตัว” ด้วย Director’s Cut ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
Q: หนังเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์จริงแค่ไหน?
A: ตัวละครส่วนใหญ่ เช่น กษัตริย์บอลด์วินที่ 4, ซิบิลลา, กี เดอ ลูซินญ็อง, และศอลาฮุดดีน มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ครับ แต่ตัวละครเอก “เบเลี่ยน” ถูกดัดแปลงและเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาอย่างมากเพื่ออรรถรสทางภาพยนตร์ เป็นหนัง “นิยายอิงประวัติศาสตร์” ครับ
Q: จริงเหรอว่า เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน อยู่ในเรื่องนี้?
A: ใช่! เขารับบทเป็นกษัตริย์บอลด์วินที่ 4 ผู้สวมหน้ากากเงิน เขาขอที่จะไม่ใส่ชื่อตัวเองในเครดิตตอนท้าย เพราะอยากให้ผู้ชมจดจำ “ตัวละคร” ไม่ใช่ “ดารา” ที่อยู่ภายใต้หน้ากาก ซึ่งเป็นการทุ่มเทที่น่านับถืออย่างยิ่ง
บทสรุป: Kingdom of Heaven (Director’s Cut) คือภาพยนตร์มหากาพย์สงคราม-ดราม่าที่ทั้งยิ่งใหญ่, งดงาม, และลึกซึ้ง เป็นผลงานที่ถูกประเมินค่าต่ำไปอย่างน่าเสียดายในตอนแรก แต่ได้รับการยอมรับในภายหลังว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของ ริดลีย์ สก็อตต์ หากคุณเป็นแฟนหนังแนวนี้… นี่คือหนังที่คุณ “ต้องดู” ในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดของมัน