ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
- ผู้กำกับ: คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood)
- นักแสดงนำ:
- คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) รับบท นักเทศน์ (The Preacher)
- ไมเคิล โมริอาร์ตี (Michael Moriarty) รับบท ฮัลล์ บาร์เร็ตต์
- แคร์รี สน็อดเกรส (Carrie Snodgress) รับบท ซาราห์ วีลเลอร์
- คริส เพนน์ (Chris Penn) รับบท จอช ลาฮู้ด
- ริชาร์ด ไดซาร์ต (Richard Dysart) รับบท คอย ลาฮู้ด
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพรวม: หนังเวสเทิร์นสุดคลาสสิกที่เป็นเอกลักษณ์
“Pale Rider” คือการ “คารวะ” ภาพยนตร์เวสเทิร์นสุดคลาสสิกเรื่อง Shane (1953) ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในขณะเดียวกัน คลินต์ อีสต์วูด ก็ได้ใส่ “ลายเซ็น” ของตัวเองเข้าไปด้วยการเพิ่มมิติความ “ลึกลับ” และ “เหนือธรรมชาติ” ให้กับตัวละครเอก
หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศของหนังคาวบอยที่คุ้นเคย ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม, ฉากดวลปืนที่น่าตื่นเต้น, และการต่อสู้ระหว่างคนดีกับคนชั่ว แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษคือตัวตนของ “นักเทศน์” ที่ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าแค่มนุษย์ธรรมดา เขาอาจจะเป็น “วิญญาณ” หรือ “ยมทูต” ที่ถูกส่งมาเพื่อพิพากษาคนชั่ว ซึ่งสร้างเสน่ห์และความน่าเกรงขามให้กับหนังอย่างมหาศาล
นี่คือหนังเวสเทิร์นที่ทั้งสนุก, เท่, และเต็มไปด้วยสไตล์ เป็นผลงานที่แฟนๆ ของคลินต์ อีสต์วูด และคอหนังคาวบอยไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
คะแนนจากนักวิจารณ์:
- IMDb: 7.3/10
- Rotten Tomatoes: 93% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
หนังติดมัน
🤩 7/10
หากนึกถึงหนังคาวบอยที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษขี่ม้าขาวลงจากเขาช่วยขจัดภัยพาล และเมื่องานเสร็จเขาก็ขี่ม้าจากไปหลงเหลือแต่เพียงชื่อให้เล่าขาน ผมเชื่อว่าเกือบทั้งหมดจะต้องนึกถึงหนังเรื่อง Shane แต่จริงๆ แล้วพล็อตเรื่องแบบ Shane ถือว่าเป็นพล็อตสามัญประจำหนังแนวนี้ แล้วก็แตกแขนงไปเป็นหนังเรื่องอื่นๆ ที่โด่งดังไม้แพ้กันอีกมาก หนังอย่าง YOJIMBO ของอาคิระ คุโรซาว่า ก็คือร่างแปลงของ Shane ที่ถูกดัดแปลงตัดทอนความเป็นวีรบุรุษในเชิงอุดมคติออกไป แล้วมันก็กลายมาเป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ชุด Dollars Trilogy หรือ The Man with No Name หนังแจ้งเกิดให้ปู่คลิ้นท์ อีสต์วูดในโลกจอเงิน(หลังจากแจ้งเกิดกับจอแก้วในหนังคาวบอยเรื่อง Rawhide) แล้วความเป็น Shane ก็เกิดอาการ Boomerang Effect มาเป็นด้วยโครงสร้างของเรื่องที่เหมือนกับการแกะพิมพ์เดียวกันมา เปลี่ยนจากชาวไร่ปศุสัตว์ที่โดนข่มเหงรังแกเป็นชาวเมืองร่อนทองในลำธารที่ถูกนายทุนใหญ่พยายามไล่ที่เพื่อขยายเหมืองทอง ใน Shane เราได้เห็นเชนขี่ม้าขาวตรงลงมาจากภูเขาราวกับว่ามีเจตนามุ่งมั่นที่จะมาแก้ปัญหาให้กับชาวปศุสัตว์ แต่ในคาวบอยลึกลับที่เรียกขานกันว่า นักเทศน์ (Preacher) ตรงเข้ามายังเมืองตามคำอธิษฐานของเมแกน เด็กหญิงวัย 14 ที่อ้อนวอนพระเจ้าขอปาฏิหาริย์ขณะที่ฝังศพสุนัขคู่ใจเพราะถูกลูกน้องนายทุนโหดสังหาร ขณะที่เมแกนร้องขอพระเจ้าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
มีฟ้าร้องฟ้าแล่บแล้วตัดให้เห็น “นักเทศน์” ขี่ม้าลงจากเนินเขา นอกจากนั้นแล้วทั้งสองเรื่องยังมีโครงสร้างเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างอย่าง เช่น เปลี่ยนตัวละครเด็กชายที่รักและเทินทูนเชนมาเป็นเด็กสาววัยรุ่นอายุ 14 ที่ยังคงรักคาวบอยแปลกหน้าอยู่ แต่แปลงเป็นความรักในวัยสาวและหลงใหลไปกับนักเทศน์ลึกลับที่เปรียบเสมือนวีรบุรุษ และเช่นเดียวกันทั้ง 2 เรื่องเมื่อนายทุนผู้กักขฬะประสบปัญหาในการขับไล่ที่ จึงว่าจ้างมือปืนจากต่างถิ่นเข้ามาจัดการ แต่ที่ตัวหนัง Pale Rider พยายามสอดแทรกเข้าไปคือการเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาโดยเฉพาะเรื่องราวของสี่จตุรอาชาแห่งความวิบัติ หรือ 4 Horsemen of the Apocalypse ซึ่งเป็นการบอกนัยๆว่า นักเทศน์ก็คือเจ้าแห่งความวิบัติที่จะมาชำระล้างคนชั่ว เป็นอาชาตัวที่ 4 ที่เป็นเสมือน Death จตุรอาชาที่ทรงพลังที่สุดมาพร้อมม้าสีเขียวหม่น ซึ่งหนังจะไปด้วยกันได้ดีกับหนังของปู่ที่แสดงและกำกับอีกเรื่อง เหมือนต่อกันได้ดี คือเรื่อง High Plains Drifter(1973) กับบทคาวบอยมือปืนที่กลับมาจากนรกเพื่อสางแค้น สร้างสังคมให้ดีขึ้น
ในยุค 1980 ต้องถือว่าเป็นยุคที่หนังคาวบอยสิ้นสุดอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีการพยายามสร้างหนังคาวบอยขึ้นมาในยุคนี้ประปราย แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จเลยนอกจาก ของปู่คลิ้นท์คาวบอยเฒ่าที่ยังคงหลงเหลือความเป็นสัญลักษณ์ของหนังคาวบอยเอาไว้ แล้วก็คือหนังคาวบอยที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคนี้ กวาดรายได้ไป 49 ล้านเหรียญในขณะที่ทุนสร้างอยู่ที่ประมาณ 6.9 ล้านเหรียญ และสร้างห่างจากหนังคาวบอยเรื่องก่อนหน้าของคลิ้นท์ถึง 9 ปี – The Outlaw Josey Wales (1976) ผมรู้สึกว่าคลิ้นท์ อิสต์วูดทำหนังคาวบอยเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านจริงๆ ครับ ทั้งภาพ เสียง เรื่องราว ลีลาของคาวบอย ตัวประกอบที่เป็นชาวเมือง คนร่อนทอง มือปืนล้วนแล้วแต่มีบุคลิกเอกลักษณะที่ใช่กับหนังคาวบอย ซึ่งจะแตกต่างกับหนังคาวบอยในยุคหลังๆ ซึ่งมักจะรู้สึกได้ว่าองค์ประกอบพวกนี้ถูกเสริมเติมแต่งเข้าไปจนไม่รู้สึกถึงความสมจริงแต่เป็นการแสดงเสียมากกว่า หนังคาวบอยของปู่แสดงให้เห็นถึงความช่ำชอง ความเข้าถึงจิตวิญญาณหนังตระกูลนี้อย่างลึกซึ้ง เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของหนังคาวบอย นับจากปู่ปิดคาวบอยแท้ๆกับ Unforgiven แล้ว ผมก็ยังไม่เห็นมีหนังคาวบอยใหม่ๆ แสดงให้ผมรู้สึกสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของคาวบอยน(นอกเสียจากเครื่องแต่งกายที่ฉาบหน้า) ตอนที่ผมดู Pale Rider ครั้งแรกในโรงภาพยนตร์นั้น ผมรู้สึกเฉยๆ กับหนัง เพราะว่าในช่วงนั้นยังผ่านตาหนังคาวบอยมาค่อนข้างน้อย แต่พอกลับมาดูอีกครั้งในตอนนี้ มันสัมผัสได้ถึงความคลาสสิคความขลัง ที่ยากจะหาได้อีกแล้วจริงๆ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนวเวสเทิร์นของ คลินต์ อีสต์วูด เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
- High Plains Drifter (1973): อีกหนึ่งหนังเวสเทิร์นสุดดิบที่ตัวละครของคลินต์ อีสต์วูด ดูเหมือนจะเป็นวิญญาณที่กลับมาล้างแค้น
- The Outlaw Josey Wales (1976): เรื่องราวของชาวไร่ที่ต้องกลายเป็นคนนอกกฎหมายเพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัว
- Unforgiven (1992) ไถ่บาปด้วยกระสุน: ผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่คว้ารางวัลออสการ์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของมือปืนแก่ที่กลับมารับงานอีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ชื่อเรื่องมาจากไหน?
A: (ผู้ขี่ม้าสีซีด) มาจาก “พระคัมภีร์วิวรณ์” (Book of Revelation) บทที่ 6 ข้อที่ 8 ซึ่งกล่าวถึง “จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก” (Four Horsemen of the Apocalypse) โดยหนึ่งในนั้นคือ “ความตาย” (Death) ที่ขี่ “ม้าสีซีด” (Pale Horse) ซึ่งเป็นการบอกใบ้ถึงตัวตนที่เหนือธรรมชาติของตัวละครเอกในเรื่องครับ
Q: หนังเรื่องนี้เป็นภาคต่อของหนังเรื่องอื่นหรือไม่?
A: ไม่ใช่ภาคต่อครับ แต่มีโครงเรื่องที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์เวสเทิร์นสุดคลาสสิกเรื่อง “Shane” (1953) อย่างมาก จนได้รับการยอมรับว่าเป็นเหมือนการ “รีเมคอย่างไม่เป็นทางการ” หรือการ “คารวะ” นั่นเอง
Q: หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน?
A: “Pale Rider” ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์ และได้รับการยอมรับว่าเป็นภาพยนตร์เวสเทิร์นที่ดีที่สุดของยุค 80s เลยทีเดียว