นักแสดงนำและผู้กำกับ
คาร์ล เออร์บัน (Karl Urban) รับบทเป็น โกสต์: ในบทบาทนักรบผู้ดิบเถื่อนและพูดน้อยต่อยหนัก
มูน บลัดกูด (Moon Bloodgood) รับบทเป็น สตาร์ไฟร์
รัสเซลล์ มีนส์ (Russell Means) รับบทเป็น พาธไฟน์เดอร์ (ผู้นำเผ่า)
ผู้กำกับ: มาร์คัส นิสเปล (Marcus Nispel) ผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างหนังรีเมคแนวสยองขวัญที่มีสไตล์ภาพดิบเถื่อนและรุนแรง
โปสเตอร์หนัง
รีวิวและบทวิเคราะห์
Pathfinder คือหนังที่เน้น “สไตล์” และ “แอ็คชั่น” อย่างชัดเจน
สไตล์ภาพที่ดิบเถื่อน: จุดเด่นที่สุดของหนังคือ “งานภาพ” ที่มีโทนสีหม่น, ดิบ, และเต็มไปด้วยความรุนแรง สมกับเป็นลายเซ็นของผู้กำกับ มาร์คัส นิสเปล การออกแบบชุดเกราะและอาวุธของเหล่าไวกิ้งก็ทำออกมาได้ดูน่าเกรงขามและโหดเหี้ยม
ฉากแอ็คชั่นที่ดุดัน: หนังอัดแน่นไปด้วยฉากต่อสู้ที่เน้นความ “โหด” และ “เลือดสาด” แบบถึงใจคอหนังแอ็คชั่นสายฮาร์ดคอร์
บทภาพยนตร์ที่อ่อนแอ: จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดคือ “บทภาพยนตร์” ที่ค่อนข้างจะ “บางเบา” และ “คาดเดาได้ง่าย” ตัวละครขาดมิติและความน่าสนใจ บทพูดมีน้อยมาก และหนังให้ความสำคัญกับฉากแอ็คชั่นมากกว่าการพัฒนาเรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละคร
ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์?: อย่าคาดหวังความถูกต้องทางประวัติศาสตร์จากหนังเรื่องนี้! ภาพลักษณ์ของชาวไวกิ้งในเรื่องถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของ “อสูรกาย” ที่โหดเหี้ยมเกินจริง ซึ่งเป็นการตีความเพื่อเน้นความมันส์มากกว่าความสมจริง
โดยรวมแล้ว นี่คือหนังประเภท “Style over Substance” (สไตล์เหนือเนื้อหา) อย่างแท้จริง
IMDb: ให้คะแนน 5.4/10
Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักวิจารณ์ส่วนใหญ่ผิดหวังกับบทภาพยนตร์ที่อ่อนแอ
หมื่นทิพ
⭐ 6/10
นี่ก็เป็นหนังย้อนยุคกึ่งอิงประวัติศาสตร์หน่อยๆ นะครับ ย้อนไปอดีตสมัยที่แผ่นดินอเมริกันยังไม่ถูกค้นพบ ชนพื้นเมืองอเมริกันก็ต้องเผชิญกับพวกไวกิ้งจอมโหดร้ายที่เข้ามาเพื่อยึดครองพื้นที่ จับคนไปเป็นทาส แล้วหนังก็มาผูกเรื่องว่ามีเด็กน้อยชาวไวกิ้งคนหนึ่งถูกทิ้งอยู่บนแผ่นดินอเมริกาพอดี ก็มีคนนำไปชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ มีนามว่า โกสต์ (Karl Urban) เพระมีประวัติที่มาลึกลับ ซ้ำยังมีลักษณะร่างกายไม่เหมือนชาวพื้นเมืองอีกต่างหาก แต่แล้วพวกไวกิ้งก็ยกพวกมาอีกครั้ง ครานี้ก็หมายจะครอบครองและทำร้ายคนบนแผ่นดินอเมริกันเช่นเคย ทำให้โกสต์ยอมไมได้ครับ เลยจัดการลุกขึ้นปกป้องชาวเมืองที่เลี้ยงดูตนมา ต่อสู้กับคนชาติพันธุ์เดียวกัน
พล็อตนี่คุ้นมากนะครับ ประเภทต้องลุกขึ้นมาปกป้องคนเลี้ยงพระเอก แต่พระเอกมีที่มาเดียวกับพวกศัตรูเนี่ย มุกประจำของหนังเลยคือต้องให้พระเอกสับสนใจอะไรเทือกนั้น แต่กับเรื่องนี้ไม่เน้นครับ เน้นพะบู๊สู้กันเลือดสาดอย่างเดียวเลย คนกำกับคือ Marcus Nispel เจ้าของผลงาน The Texas Chainsaw Massacre ฉบับรีเมค ซึ่งโตมาจากสายงานกำกับโฆษณา ผมเลยเดาว่าแกคงต้องเน้นเรื่องภาพ มุมกล้อง แล้วก็เล่นสีผสมเข้ากับการต่อสู้แบบโบราณซึ่งก็ตรงตามคาดครับ จุดนี้ถือว่า Nispel ทำออกมาได้ไม่เลวเหมือนกัน กับการจับเอาสไตล์ภาพเล่นแสงสี เงาแบบโฆษณามาใส่ในหนังย้อนยุคฟันดาบก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
แต่เนื้อหานี่ไม่มีพลิกครับ ยังไงยังงั้นเลย พระเอกต่อสู้เก่งเหนือใคร (ตัวประกอบเก่งกว่าก็ไม่ได้ครับ พี่แกเป็นเทพอยู่คนเดียว) นางเอกต้องโดนทำร้ายหรือจับตัวไป (จะเป็นยายแก่ๆ หลังหมู่บ้านก็ไม่ได้นะ จับแต่คนสาวๆ) ต้องมีคนที่พระเอกรักและนับถือมาเสียชีวิตไป (นี่ถ้าไม่รู้จักพระเอก อาจรอดก็ได้) และตอนท้ายการต่อสู้ก็ต้องถึงจุดแตกหัก (จะให้มันแตกหักตั้งแต่สิบนาทีแรกก็ไม่ได้ 555) ตัวหนังนั้นถือเป้นการรีเมคแบบได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเก่าปี 1987 เรื่อง Ofelas หนังนอร์เวย์ แต่เนื้อเรื่องจะเน้นการล้างแค้นเป็นหลัก ความเข้มข้นออกจะมากกว่าเยอะ ส่วนเวอร์ชั่นนี้หนังมาแนวฮอลลีวู้ดเต็มๆ ครับ เนื้อเรื่องเน้นง่าย แต่ขายภาพกับรุนแรงเป็นหลัก เพราะถ้าถอดงานภาพออก ผมว่าเนื้อหาหนังเล่าได้สั้นมากนะครับ สามบรรทัดจบเอง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ดีนะครับ ถ้าท่านชอบหนังแนวต่อสู้โบราณแบบผสมการประยุกต์เทคนิคภาพใส่ลงไปก็โอเคล่ะครับ แต่ถ้าหวังจะดูหนังเข้มแบบ The Last of the Mohicans นั่นก็คนละเรื่องครับ นึกๆ เหมือนกันว่าหนังนี่สร้างกันมาเป็นร้อยปีแล้วนะครับ อะไรใหม่ๆ ก็มีเยอะ แต่ท่าทางว่าใกล้จะถึงทางตันเลยต้องขุดของเก่าเอามารีเมค ตามด้วยการใส่ของใหม่ลงไป นี่ก็เป็นการสร้างความสดใหม่อย่างหนึ่ง อย่างที่เราเรียกว่าเหล้าเก่าในขวดใหม่น่ะแหละ หนังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ครับ ทำไปราว $30 ล้านจากทั่วโลก แต่ทุนสร้างนั้น $45 ล้านครับ ผมก็เฉยๆ ครับ นี่ว่าตามที่คิดเลย จริงๆ การลงทุนสร้างฉากต่างๆ มันก็ไม่เลวล่ะครับ แต่ความน่าติดตามและความเข้มข้นมันไม่มากเท่าไหร่ เนื้อหาก็ไม่ได้ชวนดึงดูดให้อยากดูจนจบแต่อย่างใด ถ้าสนใจอยากดูหนังแนวนี้ที่เด็ดขาดอร่อยเหาะ ขอแนะนำ The Last of the Mohicans แล้วกันนะครับ หรือถ้าอยากดูที่มันบันเทิงล้วนๆ พระเอกล่ำไล่ล่า ฆ่าคนพาลกับพวกโฉด ก็ลองหา Conan the Barbarian ของพี่บึ้ก Arnold มาชิมแล้วกันครับ
monilasso
⭐ 6/10
หนังเรื่องนี้ไม่ได้แย่อย่างที่บางคนว่าไว้เลย ใช่ การตัดต่อห่วยแตก ฉากต่างๆ ไหลลื่น บางครั้งก็งง ใช่ ฤดูกาลมันเพี้ยนๆ ฉากหนึ่งหิมะตก ฉากต่อมาหิมะตกอีก แล้วก็หิมะตกอีก แล้วก็ไม่ตก… และใช่ บทหนังก็ไม่ดีเช่นกัน แย่มาก ไวกิ้งถูกนำเสนอเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้จุดหมาย และอินเดียนแดงก็หวาดกลัวอาวุธใหม่ที่พวกไวกิ้งพกติดตัว นั่นคือดาบ ตอนต้นเรื่องมีการระบุว่าเป็นตำนาน ดังนั้นจึงถูกนำเสนอออกมาแบบนั้น อย่าคาดหวังว่าจะเจอเรื่องราวดีๆ แค่เรื่องราวเรียบง่าย มีฉากต่อสู้ที่เข้มข้น เลือดสาดกระจาย และการวิ่งไล่กัน ส่วนตัวผมคิดว่าบางฉากมืดมาก เลยมองไม่ออกว่าใครฆ่าใคร แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น โดยเฉพาะถ้าคุณชอบคาร์ล เออร์บัน ที่มีหน้าอกกำยำและใบหน้าที่งดงาม เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คนไม่ค่อยพูดถึง แต่เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่หล่อที่สุด การแสดงของเขาไม่ได้แย่ แค่บทหนังห่วยๆ บางครั้งเขาก็ทำให้คุณรู้สึกสงสารเขาเหมือนกัน ผมให้ 6/10 เพราะมีฉากแอ็คชั่นและภาพถ่ายสวยๆ เยอะ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแอ็คชั่น-ผจญภัยที่ดิบเถื่อน เราขอแนะนำ:
Apocalypto (2006) ปิดตำนานอารยชน : หนังไล่ล่าสุดดิบอีกเรื่องที่ว่าด้วยการเอาชีวิตรอดของชนเผ่าโบราณ
Valhalla Rising (2009) : หากอยากชมหนังไวกิ้งที่มีบรรยากาศดิบเถื่อนและเน้นศิลปะมากกว่า
The 13th Warrior (1999) : หนังแอ็คชั่น-ผจญภัยอีกเรื่องที่ว่าด้วยการปะทะกันของไวกิ้งกับศัตรูลึกลับ
Conan the Barbarian (1982 / 2011) : หากคุณชอบหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซีที่ดิบและเลือดสาด
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงเหรอ?
A: เป็นหนัง “รีเมค” จากภาพยนตร์นอร์เวย์ชื่อเดียวกันในปี 1987 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ตำนานพื้นบ้าน” ของชาวแลปป์ (Sami) ครับ แต่เวอร์ชั่นฮอลลีวูดปี 2007 นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและเพิ่มเติมความรุนแรงเข้าไปอย่างมาก ไม่ได้อิงจากประวัติศาสตร์จริงแต่อย่างใด
Q: หนังเรื่องนี้โหดแค่ไหน?
A: ค่อนข้างโหดและเลือดสาดครับ เป็นหนังเรท R ที่มีความรุนแรงสมจริง เหมาะสำหรับคอหนังแอ็คชั่นสายแข็ง
Q: ทำไมหนังถึงได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี?
A: เหตุผลหลักคือ “บทภาพยนตร์ที่อ่อนแอ” ครับ พล็อตเรื่องซ้ำซากจำเจ, ตัวละครแบนราบ, และขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์ แม้จะมีงานภาพและฉากแอ็คชั่นที่ดี แต่ก็ไม่สามารถชดเชยข้อบกพร่องด้านเนื้อเรื่องได้
บทสรุป: Pathfinder คือหนังแอ็คชั่นที่ “ดูเอามันส์” ได้อย่างแท้จริง เป็นผลงานที่โดดเด่นด้วยสไตล์ภาพที่ดิบเถื่อนและฉากต่อสู้ที่ดุดัน หากคุณเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับ มาร์คัส นิสเปล หรือชื่นชอบหนังแอ็คชั่นที่ไม่ต้องสนเนื้อเรื่องมากนัก… ศึกครั้งนี้อาจจะมอบความบันเทิงให้คุณได้