ทีมนักแสดง
วัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) รับบทเป็น ร็อบบี้ กัลลาเกอร์ วิศวกรมาดกวนที่เป็นที่พึ่งเดียวของทีม
แคร์รี-แอนน์ มอสส์ (Carrie-Anne Moss) รับบทเป็น ผู้บัญชาการเคท โบว์แมน (มาในลุคผมสั้นสุดเท่หลังโด่งดังจาก The Matrix )
ทอม ไซส์มอร์ (Tom Sizemore) รับบทเป็น ดร.ควินน์ เบอร์เชนัล
เบนจามิน แบรตต์ (Benjamin Bratt) รับบทเป็น ผู้กองเท็ด ซานเทน
ไซมอน เบเกอร์ (Simon Baker) รับบทเป็น ดร.ชิป เพ็ตเทนกิลล์
ผู้กำกับ:
แอนโทนี่ ฮอฟฟ์แมน (Antony Hoffman)
โปสเตอร์หนัง
รีวิวและมุมมองที่น่าสนใจ
Red Planet คือหนังไซไฟที่โดดเด่นในแง่ของการสร้างบรรยากาศ “เอาชีวิตรอด” ได้อย่างยอดเยี่ยม หนังไม่ได้เน้นปรัชญาหรือความลี้ลับของอวกาศ แต่พุ่งเป้าไปที่ความระทึกขวัญของการต้องเผชิญหน้ากับความตายในทุกย่างก้าว
จุดแข็งที่ต้องชื่นชม:
หุ่นยนต์ AMEE: คือหนึ่งในตัวร้ายหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาได้เท่และน่ากลัวมาก มันทั้งฉลาด ปราดเปรียว และโหดเหี้ยม เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อและสร้างความกดดันให้หนังได้ตลอดเรื่อง
บรรยากาศที่สิ้นหวัง: หนังถ่ายทอดความเวิ้งว้างและอันตรายของดาวอังคารออกมาได้ดี ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ไปติดอยู่บนนั้นกับตัวละครจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะไม่ประสบความสำเร็จในแง่รายได้และคำวิจารณ์เมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่มันก็ได้สร้างฐานแฟนคลับเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบในความดิบและโทนที่จริงจังกว่า
IMDb: ให้คะแนน 5.7/10
Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 14%
สำหรับ Movie24HD เรามองว่า Red Planet เป็นหนังไซไฟระทึกขวัญที่ดูสนุกและอาจถูกประเมินค่าต่ำไปสักหน่อย หากคุณชอบหนังแนวเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและมีตัวร้ายเป็นหุ่นยนต์สุดโหด เรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
ปี 2045 โลกกำลังประสบภาวะวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมครับ ประมาณว่าโลกไม่เหมาะที่จะอยู่อีกต่อไป ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองสร้างชั้นบรรยากาศ แล้วก็ปลูกพืช ให้สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่อาศัยได้บนดาวอังคาร พอสร้างเสร็จก็มีการส่งทีมสำรวจขึ้นไปเพื่อตรวจตราดูความเรียบร้อย แล้วก็ดูสิว่ามนุษย์จะสามารถย้ายไปอยู่ได้หรือยัง สำหรับนักบินอวกาศก็ประกอบไปด้วย ร็อบบี้ กัลลาเกอร์ (Val Kilmer), ผู้บัญชาการหญิง เคต บาวแมน (Carrie-Anne Moss), ดร. ควินน์ (Tom Sizemore) นักพันธุกรรมศาสตร์, ดร.บั๊ด แชนไทลัส (Terence Stamp) ศัลยแพทย์และนักปรัชญา แล้วก็ยังมีลูกยานอีกสองคนได้แก่ เท็ด (Benjamin Bratt) และ ชิพ (Simon Baker) แล้วในที่สุด พวกเขาก็ค่อยๆ สำรวจดาวครับ ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอสำรวจไปมา… ก็เป็นไปได้อย่างสูงว่าดาวอังคารอาจจะไม่ได้มีแค่อากาศกับพืชแบบทั่วๆ ไปซะแล้ว
จริงๆ จากพล็อตแล้วน่าสนใจดีนะครับ คิดดูสินักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้ดาวอังคารมีชีวิต โดยที่หมายมั่นจะให้มนุษย์ไปอาศัย แต่คำถามคือ “เมื่อดาวอังคารมีชีวิตแล้ว… มันจะเป็นเหมือนโลกหรือไม่” เข้าใจความหมายของผมใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเรื่องแรงดึงดูด สภาพพื้นดิน โลหะ ธาตุ และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า สมมติว่าดาวอังคารมีเหตุให้เกิดชั้นบรรยากาศจนเอื้อให้สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้จริงๆ… สิ่งมีชีวิตแบบไหนที่จะเดินบนดาวอังคาร… อาจเริ่มที่แพลงตอนธรรมดาๆ… หรือแพลงตอนที่ไม่ธรรมดา…
แต่แล้วสิ่งที่น่าสนใจกลับมีแค่พล็อตครับ ด้านการเดินเรื่องจัดได้ว่านิ่งดีแท้ เล่าแบบไม่ค่อยมีอะไรให้น่าตื่นเต้นสักเท่าไร เหมือนให้นักบินอวกาศไปเดินบนดาวอังคารแบบไม่มีอะไรเลย เล่นเอาน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน กว่าจะมีอะไรให้ลุ้นก็ปาเข้าไปช่วงหลังนั่นแหละ นอกนั้นนิ่งจริงๆ ครับ หนังเหมือนจะพึ่งพาสิ่งหลักๆ อยู่สองอย่าง ได้แก่งานด้านเทคนิค Special Effects ที่ผมไม่ปฏิเสธเลยครับว่าสร้างภาพดาวแดงได้อย่างน่าเชื่อ สวยงามดีทีเดียว และอีกหนึ่งอย่างคือการแสดงของดารา ที่คัดเอาดาราพอมีชื่อมาแสดงทั้งนั้น แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรครับ เพราะแม้เขาจะแสดงกันได้ดี แต่บทมันไม่น่าสนใจ บทพูดก็ธรรมดา แม้แต่บทนักปรัชญาของ Stamp ที่น่าจะมาพร้อมคำพูดชวนคิด ก็ยังนิ่งกว่าที่คาด
ครับ หนังมันธรรมดาจริงๆ นะครับ ผมจำได้ว่าในปีนั้นมีหนังดาวอังคารออกมา 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ Mission to Mars ของผู้กำกับ Brian De Palma ส่วนเรื่องที่สองก็คืออันนี้นี่แหละ ซึ่งหากให้ว่ากันที่พล็อตแล้ว เรื่องนี้น่าสนใจกว่าเยอะครับ เพราะมันดูน่าจะมีปริศนาซ่อนอยู่เยอะกว่า ตอนแรกที่ผมดู Mission to Mars นั้นก็แอบคิดอยู่นะครับ ว่า “เนื้อมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก” แล้วก็รอดูเรื่องนี้ต่อว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไร ปรากฏว่าพอดูเรื่องนี้เท่านั้นแหละ Mission to Mars กลายเป็นหนังดีขึ้นในทันที
ก็ทำไงได้ล่ะครับ เรื่องนี้มันนิ่งจริงๆ นี่หน่า ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เร้าใจ หรือชวนลุ้นเลย นี่ถ้าไม่ได้ Effect ช่วยหนังอาจจะจืดหนักกว่านี้ก็ได้ หนังกลายเป็นงานกำกับเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Antony Hoffman เพราะว่าพี่ท่านเขาเข็ดครับ นั่งแป้นกำกับแล้วก็เจอกับฤทธิ์เดชบารมีของดาราในกองถ่ายอย่าง Kilmer ที่เบ่งแข่งกับ Sizemore จนผู้กำกับไม่เป็นอันทำงาน ซึ่งว่ากันว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังออกมาน่าเบื่อ เดินเรื่องแบบไม่ค่อยมีอะไรก็เนื่องจากกองถ่ายไม่ค่อยสงบนั่นเองแหละครับ ดาราตีกันบ้าง จนคนทำไม่มีกะจิตกะใจจะสร้างสรรค์อะไรนัก โดยเฉพาะผู้กำกับที่ขออำลาวงการกำกับทันทีหลังจากหนังออกฉาย เฮ่อ … น่าสงสารแกเหมือนกัน สรุปนะครับ เป็นหนังผจญภัยบนดาวอังคารที่ขึ้นต้นน่าสนใจ แต่ลงท้ายไปกลับไม่มีอะไรให้ประทับใจเลย ที่ทึ่งคงจะมีแค่ว่า Kilmer แสดงเป็นเพื่อนซี้ที่ยอมตายแทนกันได้กับ Sizemore ได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งที่ในกองถ่ายสองคนนี้หน้ายังแทบไม่มองด้วยซ้ำไป… แบบนี้เรียกว่าแสดงเก่งแท้ๆ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชอบหนังไซไฟเอาตัวรอดในอวกาศแบบนี้ เราขอแนะนำ:
Mission to Mars (2000) : คู่แข่งที่ฉายในปีเดียวกัน มีโทนที่เน้นการผจญภัยและการค้นพบมากกว่า เหมาะสำหรับคนที่อยากเปรียบเทียบ
The Martian (2015) : สุดยอดหนังเอาตัวรอดบนดาวอังคารยุคใหม่ที่เน้นวิทยาศาสตร์และพลังใจของมนุษย์
Pitch Black (2000) : อีกหนึ่งหนังไซไฟเอาตัวรอดในปีเดียวกันที่ตัวละครต้องติดอยู่บนดาวมรณะและถูกไล่ล่าโดยอสูรกาย มีความกดดันและระทึกขวัญในระดับใกล้เคียงกัน
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่อง Red Planet กับ Mission to Mars เรื่องไหนสนุกกว่ากัน?
A: ขึ้นอยู่กับความชอบเลยครับ! ถ้าคุณชอบหนังไซไฟผจญภัยที่เต็มไปด้วยความหวังและความพิศวง ให้ดู Mission to Mars แต่ถ้าคุณชอบหนังระทึกขวัญที่กดดันและเน้นการเอาตัวรอดแบบดิบๆ Red Planet คือคำตอบครับ
Q: หุ่นยนต์ AMEE ในเรื่องน่ากลัวไหม?
A: น่ากลัวมากครับ! มันถูกยกให้เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของหนังเลย ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและความฉลาดในการไล่ล่า ทำให้มันเป็นวายร้ายที่น่าจดจำตัวหนึ่งในโลกภาพยนตร์ไซไฟ
Q: หนังเรื่องนี้วิทยาศาสตร์สมจริงแค่ไหน?
A: หนังพยายามใส่หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ดูน่าเชื่อถือเข้ามาหลายอย่าง แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เรื่องราวมีความตื่นเต้นและเดินหน้าต่อไปได้ตามสไตล์หนังฮอลลีวูดครับ
บทสรุป: Red Planet คือหนังไซไฟ-ระทึกขวัญที่อาจมีจุดบกพร่องบ้าง แต่ก็สามารถมอบความบันเทิงและความตื่นเต้นได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฉากการเอาตัวรอดและการต่อสู้กับหุ่นยนต์ AMEE ที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ หากคุณกำลังมองหาหนังไซไฟมันส์ๆ สักเรื่องเพื่อดูในคืนว่างๆ เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย