ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
- ผู้กำกับ: รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard)
- ผู้เขียนบท: ปีเตอร์ มอร์แกน (Peter Morgan)
- นักแสดงนำ:
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพรวม: การแสดงระดับออสการ์และบทภาพยนตร์ที่ไร้ที่ติ
“Rush” คือภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบในทุกองค์ประกอบ นี่ไม่ใช่แค่หนังแข่งรถ แต่เป็น “หนังดราม่าตัวละคร” ชั้นเยี่ยมที่ใช้ฉากหลังเป็นการแข่งขัน F1 ได้อย่างทรงพลัง หัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าจดจำคือการแสดงที่ยอดเยี่ยมจนน่าขนลุกของนักแสดงนำทั้งสองคน คริส เฮมส์เวิร์ธ สลัดภาพเทพเจ้าธอร์มาเป็น เจมส์ ฮันท์ ได้อย่างมีเสน่ห์และเป็นธรรมชาติ แต่ที่ต้องคารวะคือ แดเนียล บรูห์ล ที่สวมวิญญาณเป็น นิกิ เลาดา ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งสำเนียง, ท่าทาง, และแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย
ผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด สามารถสร้างสรรค์ฉากการแข่งขันออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้นและสมจริง เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องโรง และมุมกล้องที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วยตัวเอง แต่ที่เหนือกว่านั้นคือการเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของตัวละคร ทำให้เราเข้าใจในแรงผลักดัน, ความกลัว, และความเคารพที่ทั้งสองมีให้แก่กัน
คะแนนจากนักวิจารณ์:
- IMDb: 8.1/10
- Rotten Tomatoes: 89% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
หมื่นทิพ
ถือเป็นหนังดราม่าแข่งรถที่ทำออกมาได้เข้มข้นและมันส์มากๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ขอยกให้เป็นหนังแข่งรถที่มันส์ที่สุดเท่าที่เคยดูมา หนังจับเอาเค้าโครงเรื่องจริงของนักแข่งรถระดับตำนานในยุค 70 อย่าง เจมส์ ฮันท์ (Chris Hemsworth) และ นิคกี้ เลาด้า (Daniel Brühl) ที่ทั้งคู่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกันมาตลอด จนหลายคนยกให้พวกเขาเป็นคู่แข่งที่ฝีมือทัดเทียมกินกันไม่ลงมากที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์กีฬาความเร็ว ผมชอบที่หนังนำเสนอมากๆ ครับ โดยหลักแล้วมันคือการเล่าในเชิงดราม่า ว่าชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะชีวิตคู่ หรือชีวิตส่วนตัว ซึ่งต้องยกนิ้วให้เหล่าดาราที่เล่นอย่างเทพ Hemsworth เหมาะมากๆ ในบทนักแข่งรถเจ้าเสน่ห์ที่หลงตัวเองนิดๆ เช่นเดียวกับ Brühl ที่ถ่ายทอดบทนิคกี้ เลาด้าได้สุดยอดจนน่าขนลุก
สำหรับผมหนังไม่น่าเบื่อเลยครับ น่าติดตามตลอด ช่วงดราม่าก็สนุกไปกับการดูดาราเล่นเข้าถึงบท บวกด้วยเนื้อหาที่น่าติดตาม เพราะทั้งเจมส์และนิคกี้ต่างก็มีปมชีวิตด้วยกันทั้งคู่ ครั้นพอถึงช่วงแข่งรถก็โคตรจะมันส์ คือมันลุ้นจริงๆ นะครับ ตื่นเต้น เร้าใจ ยิ่งบางสนามมันแข่งกันยากๆ มีอุปสรรคเยอะๆ ก็ยิ่งลุ้นว่าจะมีนักแข่งคนไหนเกิดอันตรายหรือไม่ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบนั้น หนังจะฉายให้เห็นว่าเกือบทุกสนามจะต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น คนขับถ้าไม่ตายก็ทุพพลภาพ เราเลยอดลุ้นไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับ 2 ตัวเอกหรือไม่ ซึ่งพอดีผมไม่เคยรู้ประวัติของพวกเขามาก่อนครับ เลยไม่รู้ว่าใครเคยโดนอุบัติเหตุไหม และไปๆ มาๆ ความไม่รู้ของผมก็ยิ่งทำให้ผมติดหนังเรื่องนี้หนึบไปเลยครับ ลุ้นจริงๆ
แต่จุดที่ผมชอบกว่าคือสัมพันธภาพระหว่างเจมส์กับนิคกี้ ที่มีหลายระดับมากครับ แน่นอนว่าในระดับพื้นฐานแล้ว พวกเขาคือคู่แข่งที่หมายจะเอาชนะกัน แต่ขณะเดียวกันถ้ามองลึกๆ ก็จะพบว่าพวกเขานับถือกันอยู่ในที และเมื่อแข่งกันมากๆ เข้า รู้จักกันมากๆ เข้า ผ่านอะไรกันมามากๆ เข้า มันก็กลายเป็นมิตรภาพ แต่มันไม่ใช่มิตรภาพแบบสนิทซี้ปึ้กหรือนัดไปกินข้าวกันบ่อยๆ นะครับ ทว่ามันเป็นมิตรภาพแบบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แม้ทั้งสองจะไม่เคยแสดงความสนิทออกสื่อ แต่พวกเขาก็แอบให้กำลังใจ แอบช่วยเหลือ (หรือกระทั่งแอบตั้นหน้านักข่าวที่ตั้งคำถามไม่สบอารมณ์อีกฝ่าย) มันเป็นมิตรภาพที่น่าสนใจและสวยงามไม่น้อยทีเดียว แล้วก็อย่างที่ผมย้ำเสมอครับ ดาราเล่นกันได้สุดยอดจริงๆ
ถือเป็นผลงานกำกับระดับท็อปฟอร์มอีกเรื่องของ Ron Howard (Apollo 13, Backdraft, Frost/Nixon, The Da Vinci Code และ Angels & Demons) ทุกอย่างลงตัวครับ เข้มข้น โทนภาพเจ๋ง เดินเรื่องน่าติดตาม ดูจบแล้วเต็มอิ่ม เรียกว่าความเด็ดนี่ไม่น้อยหน้า Frost/Nixon ก็ว่าได้ สาระในหนังก็อุดมครับ ไม่ว่าจะเรื่อง
+ คู่แข่งตัวจริงของมนุษย์ทุกคน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือตัวเราเองนี่แหละครับที่เราต้องหมั่นเอาชนะ ไม่ว่าจะชนะเราคนเก่า โดยการพัฒนาตนเองให้แซงหน้าเราคนเมื่อวาน หรือการชนะใจตนยามเรากำลังจะหลงทาง หรือหลงตัวเอง
+ หากเรามีคู่แข่งคนอื่น จงเปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นครู เรียนรู้จากคนผู้นั้นอยู่เสมอ หากเขามีมุมดี ก็มองแล้วนำมาพัฒนาตน หากเขามีมุมลบ ก็มองแล้วนำมาพัฒนาตนเช่นกัน
+ ชีวิตคนเราไม่แน่นอนครับ จะอยู่จะไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นจงทำวันนี้ให้ดี ทำดีต่อกันให้มากเข้าไว้ ไม่ประมาทดีที่สุด
+ สำหรับนักข่าวทั้งหลาย แน่นอนว่างานของท่านคือการหาข่าว คือการถามไถ่ แต่บางคำถามหากถามไปแล้วทำร้ายจิตใจคนถูกถาม ก็ควรพิจารณาให้ดีว่าเราควรถามหรือไม่ (หรือถามตัวเอง ว่าถ้าเป็นเรา เราจะอยากฟังคำถามนี้ไหม)
ยอมรับว่าตอนดูรอบแรกผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังมากนักครับ รู้แค่ Ron Howard กำกับ และ Hemsworth นำแสดง ครั้นพอได้ดูนี่รู้สึกโดนจริงๆ และระหว่างดูก็ฟังดนตรีไป แม้จะไม่รู้ชื่อว่าใครทำดนตรี แต่พอได้ยินทำนองนี้ในใจผุดชื่อ Hans Zimmer ขึ้นมาเป็นเจ้าแรก เพราะจังหวะมันเร้า อารมณ์มันถึง และพอดูชื่อคอมโพเซอร์ก็พบว่าเป็น Zimmer จริงๆ ส่วนรายได้นั้น ถ้าเป็นในอเมริกาถือว่าไม่สวยเลยครับ ทำไปแค่ $26 ล้าน แต่ทุนน่ะปาเข้าไป $38 ล้าน ยังดีที่รายได้รวมทั่วโลกไปถึง $96 ล้าน หนังเลยไม่ขาดทุน สรุปว่าเรื่องนี้ ของเขาดีจริงครับ เข้มข้นถึงใจจริงๆ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณประทับใจใน “Rush” และชื่นชอบหนังดราม่ากีฬาที่สร้างจากเรื่องจริง เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
- Ford v Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์: อีกหนึ่งสุดยอดหนังแข่งรถที่สร้างจากเรื่องจริงของการต่อสู้ระหว่าง Ford และ Ferrari ในการแข่งขัน Le Mans ปี 1966
- Moneyball (2011) เกมล้มยักษ์: หนังดราม่า-เบสบอลสุดเข้มข้นที่ว่าด้วยเรื่องของการใช้สถิติเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการกีฬา นำแสดงโดย แบรด พิตต์
- The Fighter (2010) 2 แกร่ง หัวใจเกินร้อย: เรื่องจริงของสองพี่น้องนักมวยที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทั้งในและนอกสังเวียนเพื่อไปสู่การเป็นแชมป์โลก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ไม่เคยดูการแข่งขัน F1 มาก่อน จะดูรู้เรื่องไหม?
A: รู้เรื่องแน่นอน 100% ครับ! หนังไม่ได้เน้นเรื่องเทคนิคที่ซับซ้อน แต่เน้นไปที่ดราม่าและความสัมพันธ์ของตัวละคร ทำให้ทุกคนสามารถสนุกและอินไปกับเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย
Q: เรื่องราวในหนังตรงกับประวัติศาสตร์จริงแค่ไหน?
A: ค่อนข้างตรงมากครับ ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี และ นิกิ เลาดา ตัวจริงก็ได้ให้คำปรึกษาในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทำให้เหตุการณ์สำคัญต่างๆ มีความสมจริงและถูกต้องตามประวัติศาสตร์
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับการยกย่องอย่างสูง?
A: เพราะเป็นหนังที่สมดุลอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างความบันเทิงจากฉากแข่งรถที่น่าตื่นเต้น กับเนื้อหาดราม่าที่ลึกซึ้งและการแสดงที่ทรงพลัง ทำให้ “Rush” เป็นมากกว่าแค่หนังแข่งรถ แต่เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการแข่งขัน, การยอมรับ, และความหมายของชีวิต