ดูหนัง Sinners (2025) ซินเนอร์ส
ในปี 1932 ฝาแฝดเหมือนกันและ ทหารผ่านศึก สงครามโลกครั้งที่ 1 Smoke และ Stack Moore กลับมาที่เมืองคลาร์กส์เดล รัฐมิสซิสซิปปี้หลังจากทำงานให้กับChicago Outfit เป็นเวลาหลายปี พวกเขาใช้เงินที่ขโมยมาจากพวกอันธพาลซื้อโรงเลื่อยจากเจ้าของที่ดินที่เป็นคนเหยียดผิวชื่อ Hogwood เพื่อเปิดร้านขายเหล้าสำหรับชุมชนคนผิวสีในท้องถิ่น แซมมี่ ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาซึ่งเป็นนักกีตาร์ที่ใฝ่ฝันเข้าร่วมกับพวกเขา แม้ว่าเจดิเดียห์ ผู้เป็นบาทหลวงจะเตือนว่าดนตรีบลูส์เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติก็ตาม ฝาแฝดได้คัดเลือกนักเปียโนชื่อเดลต้า สลิมมาแสดง แอนนี่ ภรรยาที่แยกทางกับสโมคเป็นพ่อครัวเกรซและโบ โจว คู่รักชาวจีนเจ้าของร้านค้าในท้องถิ่น เป็นซัพพลายเออร์ และคอร์นเบรดคนงานภาคสนามเป็น การ์ดแอนนี่เชื่อว่า การฝึก ฮูดู ของเธอ ทำให้ฝาแฝดปลอดภัย แต่สโมคตั้งคำถามกับพวกเขาที่ไม่สามารถป้องกันการเสียชีวิตของลูกสาววัยทารกได้ สแต็กได้พบกับ แมรี่ อดีตแฟนสาวที่ ดูเหมือนเป็นคนขาวซึ่งไม่พอใจสแต็กที่ทอดทิ้งเธอ ซึ่งสแต็กกล่าวในภายหลังว่าเธอทำเพื่อปกป้องเธอ ในขณะเดียวกัน เรมมิก แวมไพร์ผู้อพยพชาวไอริชได้หลบภัยจาก นักล่าแวมไพร์ชาวโชก ทอว์ที่มีคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ว เป็นพวก คูคลักซ์แคลน ซึ่งเขาเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นแวมไพร์
ในคืนเปิดร้าน Sammie, Delta Slim และ Pearline ซึ่งเป็นนักร้องที่ Sammie หลงใหล ได้แสดงบนเวที เพลงของ Sammie นั้นไพเราะมาก โดยเรียกวิญญาณทั้งในอดีตและอนาคตมาร่วมกลุ่มผู้ชมที่หลงใหลอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม การแสดงนี้ยังดึงดูด Remmick และทาสแวมไพร์ของเขา ซึ่งเสนอเงินและดนตรีเพื่อเข้าชม Smoke ซึ่งรู้สึกสงสัยจึงปฏิเสธ ต่อมาฝาแฝดก็ตระหนักได้ว่าการที่ลูกค้าของพวกเขาพึ่งพาเงินตราของบริษัททำให้ร้านไม่สามารถทำกำไรได้ เมื่อให้เหตุผลกับ Stack ว่าร้านต้องการรายได้ภายนอก Mary จึงไปพบกับ Remmick ข้างนอก ซึ่งเธอถูกเปลี่ยนใจ เมื่อกลับเข้าไปข้างใน เธอล่อลวงและฆ่า Stack โดยดื่มเลือดของเขา Smoke ค้นพบพวกเขาและยิง Mary แต่บาดแผลของเธอหายทันทีและเธอก็หลบหนีไป Remmick ข้างนอกกลายเป็น Cornbread
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Michael B. Jordan / ไมเคิล บี. จอร์แดน

Hailee Steinfeld / เฮลีย์ สเตนเฟลด์

Miles Caton / ไมล์ส คาตัน

ผู้กำกับ ไรอัน คูเกลอร์
รีวิวหนัง Sinners (2025) ซินเนอร์ส
Filmment
เรื่องราวของสโมคและสแต็ก ฝาแฝดที่ต้องการทิ้งปัญหาทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีปีศาจร้ายกำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่ #ความเห็น ภาพยนตร์เรื่อง Sinners เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ Ryan Coogler ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตกจากผลงานฟอร์มยักษ์เรื่อง Black Panther ทั้ง 2 ภาค แต่โดยส่วนตัวแล้ว Ryan Coogler สร้างความประทับใจให้กับผมในผลงานเรื่อง Creed มากกว่าครับ โดยใน Sinners เจ้าตัวได้กลับมาร่วมงานกับนักแสดงอย่าง Michael B. Jordan อีกครั้ง และนับเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่องแรกของทั้งคู่อีกด้วยครับ ผมรู้สึกสนใจภาพยนตร์เรื่อง Sinners ตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความลึกลับและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ หากแต่มันกลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น พร้อมทั้งสอดแทรกกลิ่นอายของความสยองขวัญลงไปในตัวอย่างได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าตัวอย่างภาพยนตร์ตัวที่ 2 จะระบุชัดเจนว่าภัยคุกคามของภาพยนตร์นั้นคือแวมไพร์กลุ่มหนึ่ง แต่ Ryan Coogler เองก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้งครับว่า ตัวเขาเองไม่ได้มอง Sinners ว่าเป็นภาพยนตร์แวมไพร์โดยตรง เนื่องจากภาพยนตร์มีเนื้อหาที่ต้องการบอกเล่ามากกว่านั้นรอคอยผู้ชมอยู่ครับ ซึ่งหลังจากได้รับชมจบแล้วผมก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เพราะ Sinners คือภาพยนตร์ที่หักล้างทุกความคาดหวังของผู้ชม และพาตัวเองไปไกลในทิศทางที่ผมไม่คิดว่ามันจะไปครับ
ว่ากันตามตรงแล้ว Sinners ไม่ใช่ภาพยนตร์แวมไพร์ที่ขายความสยองขวัญหรือฉากแอ็กชั่นนะครับ หรือว่าง่ายๆ หากใครที่คาดหวังจะได้รับความบันเทิงแบบเต็มสูบ กระหน่ำความฉูดฉาดของเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ โดยภาพยนตร์นั้นแบ่งตัวเองออกเป็น 2 ครึ่งอย่างชัดเจน ในครึ่งแรกนั้นเป็นการพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับตัวละคร และคลุกคลีไปกับวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา ผ่านการเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของสโมคและสแต็ก ฝาแฝดผู้ต้องการจะกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเปิดสถานบันเทิงขนาดใหญ่สำหรับคนดำในท้องที่ ในระหว่างทาง ภาพยนตร์ได้ทำการสอดแทรกเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนดำเอาไว้ในทุกรายละเอียด ทั้งร่องรอยของการเป็นทาส, ความหวาดกลัวต่อกลุ่มคูคลักซ์แคลน, การใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายจิม โครว์ รวมถึงบทบาทสำคัญของศาสนาและเพลงบลูส์ ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของคนผิวดำครับ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Sinners เล่าเรื่องราวที่ครอบคลุมเวลา 1 วันเต็มๆ โดยกว่าที่ผู้ชมจะเดินทางมาถึงสถานบันเทิงของสโมคและสแต็ก ภาพยนตร์ก็ได้ผ่านเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว และเมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า ภาพยนตร์ก็ได้พลิกโทนของตัวเองเข้าสู่การเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญในสถานที่ปิด หรือเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิงครับ แต่สิ่งที่ถูกใช้เพื่อเชื่อมโยงทั้ง 2 ครึ่งเข้าด้วยกันก็คือบทเพลงบลูส์ ซึ่งถูกใช้งานทั้งในเชิงสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารถึงประเด็นที่ตัวหนังต้องการ และในเชิงของเงื่อนไขการเล่าเรื่อง เพื่อเปิดทางให้กับแวมไพร์ได้กลายเป็นภัยคุกคามหลักของภาพยนตร์ครับ
หากมองในภาพใหญ่แล้วความขัดแย้งหลักของ Sinners จะมาจากการคุกคามของแวมไพร์ก็จริง แต่ภาพยนตร์กลับเดินเรื่องอย่างกล้าหาญ ด้วยการถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ให้กับเรื่องราวเป็นสำคัญครับ กล่าวคือไม่ว่าผู้ชมจะมองเรื่องราวผ่านตัวละครไหน มันก็จะมีแก่นสารในตัวเองอย่างชัดเจน เช่น เส้นเรื่องของตัวละครหลักอย่างสโมคและสแต็กนั้นว่าด้วยการเดินทางกลับบ้าน, การไถ่บาป และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือตัวละครรองอย่างแซมมี่ มัวร์ ก็บอกเล่าเรื่องราวของการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง, การไขว่คว้าความฝัน และการเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น เป็นต้น ไม่เพียงแต่ประเด็นที่เกี่ยวโยงกับตัวละครเท่านั้น หากแต่สถานการณ์ทั้งหมดของเรื่องยังสามารถขบคิดตีความ และถอดนัยออกมาเป็นประเด็นต่างๆ ได้อย่างไม่รู้จบ อาทิเช่น การรับมือกับความเจ็บปวดและการสูญเสีย, อิสรภาพที่ไม่มีจริงของคนดำ หรือความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของเพลงบลูส์ เป็นต้นครับ การที่ภาพยนตร์ยอมใช้เวลากว่าครึ่งเรื่องในการปูสิ่งเหล่านี้ให้กับเรื่องราว แน่นอนครับว่ามันแลกมากับจังหวะการเล่าเรื่องที่เชื่องช้าหากเทียบกับภาพยนตร์ที่เน้นความบันเทิงจากเมนสตรีม แต่สิ่งที่ได้มาก็คือความมีชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ของทุกตัวละคร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อเรื่องราวในครึ่งหลัง อันเต็มไปด้วยการระเบิดความบ้าคลั่งและการนองเลือดอย่างไม่บันยะบันยัง ซึ่งสามารถมอบความบันเทิงที่ผู้ชมเฝ้ารอตั้งแต่ต้นเรื่องได้อย่างเต็มอิ่มและสาแก่ใจ นอกเหนือจากนั้นแล้วมันยังเป็นการชะล้างรอยแผลทางประวัติศาสตร์อันชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองได้อีกด้วยครับ