ดูหนัง Solaris (2002) โซลาริส ดาวมฤตยูซ้อนมฤตยู
นี่ไม่ใช่หนังไซไฟที่คุณคุ้นเคย ในเรื่องนี้ไม่มีสงครามอวกาศ, ไม่มียานยิงเลเซอร์, และไม่มีสัตว์ประหลาดน่ากลัว แต่ Solaris คือภาพยนตร์ไซไฟ-ดราม่าที่งดงาม, เศร้า, และชวนให้ขบคิด ที่จะใช้ฉากหลังของอวกาศมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความรัก, การสูญเสีย, และการได้โอกาสครั้งที่สอง วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” ที่อาจจะดำเนินเรื่องช้า แต่จะทิ้งความรู้สึกและคำถามไว้ในใจของคุณไปอีกนาน
เรื่องย่อ
ดร.คริส เคลวิน (จอร์จ คลูนีย์) นักจิตวิทยาผู้ยังคงจมอยู่กับความเศร้าโศกและความรู้สึกผิดต่อการฆ่าตัวตายของ เรอา (นาตาชา แม็คเอลโฮน) ภรรยาสุดที่รักของเขา เขาได้รับภารกิจให้เดินทางไปยังสถานีอวกาศ “โพรมีธีอุส” ที่กำลังโคจรอยู่รอบดาวเคราะห์ลึกลับที่ชื่อว่า “โซลาริส” ซึ่งเป็นดาวที่ทั้งพื้นผิวคือมหาสมุทรขนาดมหึมา หลังจากที่ลูกเรือบนสถานีได้ขาดการติดต่อไปอย่างปริศนา เมื่อไปถึง เคลวินได้พบว่าสถานีตกอยู่ในสภาพที่น่ากลัว ลูกเรือส่วนใหญ่เสียชีวิตหรือไม่ก็เสียสติไปแล้ว เหลือเพียงผู้รอดชีวิตสองคนที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ไม่นานนัก เขาก็ได้ค้นพบสาเหตุของเรื่องทั้งหมด… โซลาริส คือดาวเคราะห์ที่มี “ชีวิต” และมันกำลังสื่อสารกับมนุษย์ด้วยการ “ดึง” เอาความทรงจำและความปรารถนาที่ลึกที่สุดในจิตใจของพวกเขาออกมา และสร้างมันให้กลายเป็น “ร่างจำลอง” ที่มีชีวิตจริงๆ! แล้วเช้าวันหนึ่ง เคลวินก็ต้องตื่นขึ้นมาพบกับฝันร้าย (หรือฝันดี) ที่กลายเป็นจริง… เรอา ภรรยาที่ตายไปแล้วของเขา กลับมาปรากฏตัวตรงหน้าในสภาพที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง เธอคือของขวัญจากโซลาริส คือโอกาสครั้งที่สองที่เขาจะได้แก้ไขความผิดพลาดในอดีต แต่เขาจะสามารถรัก “สิ่งจำลอง” ที่ไม่ใช่คนจริงๆ ได้หรือไม่? และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความทรงจำอันเจ็บปวดเริ่มกลับมาหลอกหลอนพวกเขาอีกครั้ง?
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) รับบทเป็น ดร.คริส เคลวิน: ในบทบาทดราม่าที่นิ่งขรึมและลึกซึ้งที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงของเขา
- นาตาชา แม็คเอลโฮน (Natascha McElhone) รับบทเป็น เรอา
- ไวโอลา เดวิส (Viola Davis) และ เจเรมี เดวีส์ (Jeremy Davies) ในบทลูกเรือผู้รอดชีวิต
- ผู้กำกับ: สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Steven Soderbergh) ผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก Traffic และหนังปล้นสุดเท่อย่าง Ocean’s Eleven
- ผู้อำนวยการสร้าง: เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับในตำนานจาก Titanic และ Avatar
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Solaris คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกของ สตานิสواف เลม และเป็นการสร้างใหม่จากเวอร์ชั่นปี 1972 ของผู้กำกับในตำนาน อังเดร ทาร์คอฟสกี ซึ่งโซเดอร์เบิร์กได้สร้างออกมาในสไตล์ของตัวเองที่ทั้งงดงามและเข้าถึงง่ายกว่า
- ไซไฟแห่งจิตใจ: หนังเรื่องนี้ไม่ใช่การสำรวจอวกาศ แต่คือการสำรวจ “พื้นที่ภายใน” ของจิตใจมนุษย์ มันตั้งคำถามที่ลึกซึ้งว่า: อะไรคือสิ่งที่นิยามความเป็นมนุษย์? ความทรงจำหรือร่างกาย? เราจะรักใครสักคนได้หรือไม่หากปราศจากอดีตร่วมกัน?
- บรรยากาศที่ชวนฝันและหม่นหมอง: หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ เนิบๆ และเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและน่าขนลุก ดนตรีประกอบโดย คลิฟฟ์ มาร์ติเนซ คืออีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำ
- หนังที่เลือกผู้ชม: นี่คือหนังที่ล้มเหลวในแง่รายได้ เพราะผู้ชมคาดหวังว่าจะได้ดูหนังไซไฟ-สยองขวัญ แต่กลับได้หนังดราม่า-ปรัชญาแทน มันจึงเป็นหนังที่ไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบหนังไซไฟที่เน้นความคิดและอารมณ์ นี่คือผลงานที่คุณจะประทับใจ
- IMDb: ให้คะแนน 6.2/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ 66% ซึ่งเป็นคะแนนที่ดีสำหรับหนังแนวนี้ที่เสียงแตกเสมอ
JoelB
⭐ 7/10
หนังเรื่องนี้มีข้อดีหลายอย่าง แต่สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นโอกาสที่เสียไป มันก่อให้เกิดปัญหาทางจิตใจที่ชวนให้คิด แต่ไม่เคยพาผมไปสนใจหรือค้นพบอะไรที่ชัดเจนเลย ช่วงครึ่งหลังผมค่อนข้างเบื่อ จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่าติดตามเหมือนฉบับของทาร์คอฟสกีเลย ตัวละครของเรยาพัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะบาดแผลทางจิตใจของเธอเองที่กลายเป็น “สิ่งที่สร้างขึ้น” (เรยาของทาร์คอฟสกีดูไร้เดียงสาไปหน่อยเมื่อเทียบกัน) แต่สิ่งที่ผมพลาดไปจากฉบับของทาร์คอฟสกีคืออารมณ์ขัน (เรื่องนี้จริงจังจนอึดอัด) และการใช้เพลงประสานเสียงของบาคในเพลงประกอบที่ชวนให้นึกถึงและสะเทือนอารมณ์ เพลงประกอบเรื่องนี้น่าสนใจ (เหมือนกับผลงานของไบรอัน อีโน, ลิเกตี และโทมัส นิวแมน ใน The Player และ American Beauty) แต่สุดท้ายผมก็พบว่าตัวเองโหยหาจังหวะดนตรีอย่างสุดหัวใจ บทนี้ขาดความรู้สึกถึงการไถ่บาปที่ถ่ายทอดออกมาทางดนตรีในฉบับของทาร์คอฟสกี จึงต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และสุดท้ายนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตว่าทั้งทาร์คอฟสกีและโซเดอร์เบิร์กต่างก็ไม่ได้ถ่ายทอดองค์ประกอบของความอับอายและความเบี่ยงเบนทางเพศที่มีบทบาทสำคัญในงานต้นฉบับของเลมออกมาได้อย่างแท้จริง ทั้งคู่กลับให้ความสำคัญกับความรู้สึกผิด ซึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสียทีเดียว ใช่ไหม?
Kevin_K
⭐ 8/10
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนจะได้ดูเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างมาก พวกเขาพลาดประเด็นสำคัญของเรื่องไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเน้นไปที่ปรัชญามากกว่าอารมณ์ความรู้สึก โดยพื้นฐานแล้ว หนังเรื่องนี้ได้นำเอาการทดลองทางความคิดแบบ “จะเป็นอย่างไรถ้า” ที่น่าเกรงขามมาใช้ นั่นคือการค้นพบสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาขั้นสูงที่ไม่ใช่มนุษย์ (ซึ่งน่าแปลกใจมากที่ไม่มีสองแขน สองขา หนึ่งร่างกาย และหนึ่งหัว) และปัญหาในการพยายามสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันดูเหมือนไม่สนใจการสื่อสาร และวิธีที่เราจะเชื่อมโยงกับมันด้วยประสบการณ์อันจำกัดของมนุษย์เราเอง และได้ดึงเอาส่วนที่น่าสนใจทางปัญญาออกมาทั้งหมด โซลาริสควรจะเป็นพระเอกตัวจริงของเรื่อง แต่บทภาพยนตร์กลับเปลี่ยนมันให้เป็นภาพพื้นหลังแทน สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนั้นคือเรื่องราวความรักแสนหวานที่เกิดขึ้นในอวกาศ มันน่าหงุดหงิดเมื่อคิดถึงศักยภาพที่สูญเปล่าไป คุณโซเดอร์เบิร์กสามารถสร้างภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิกเรื่องนี้ได้ หากเพียงแต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ ที่ตลกคือ ถ้าฉันไม่ได้อ่านหนังสือ ฉันคงชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมันกำกับได้ดีและมีบรรยากาศที่ชวนติดตาม เรื่องราวความรักก็ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากเดิมหรอก แค่… เรียกมันว่าอย่างอื่นที่ไม่ใช่ Solaris ตั้งชื่อตัวละครให้ต่างกัน อย่าทำอะไรที่ทำให้นึกถึงเนื้อเรื่องเดิมเลย ฉันว่ามันเป็นหนังที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น มันก็น่าผิดหวังสุดๆ เลย
bilahn
⭐ 8/10
ฉันมักจะรู้สึกว่ามันน่าสนใจเสมอที่จะนำเสนอหนังที่ทำให้คนดูมีอคติแบบสุดโต่ง ในกรณีนี้คือ “หนังดำเนินเรื่องช้ามาก” กับ “น่าประทับใจและเหลือเชื่อ” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความเห็นของนักวิจารณ์เช่นกัน ปฏิกิริยาของฉันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันค่อนข้างชอบนิยายวิทยาศาสตร์แนวนี้อยู่แล้ว นึกถึง “Gattaca” ที่เรียบง่ายแต่ยอดเยี่ยม ฉันรู้สึกว่ามันน่าสนใจและมีบรรยากาศดีมาก และมันก็ทำให้ฉันสนใจ ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่ายังมีบางอย่างขาดหายไป และมันก็ไม่ได้เข้มข้น ซับซ้อน และดีอย่างที่ควรจะเป็น ฉันไม่แน่ใจว่าทำไม ฉันคิดว่ากุญแจสำคัญสำหรับฉันคือฉันไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกกับเรื่องราวความรักได้อย่างแท้จริง และนี่คือเรื่องราวความรักที่สำคัญที่สุด ฉันมีปัญหากับเรื่องราวความรักส่วนใหญ่ เนื่องจากอคติส่วนตัวของฉันเอง ดังนั้นมันจึงต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เข้าถึงมันได้ ฉันคิดว่าปัญหาคือการคัดเลือกนักแสดงและการแสดง ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก ผู้หญิงที่รับบทกอร์ดอนก็ค่อนข้างจืดชืดเช่นกัน นอกจากนี้สคริปต์ยังชัดเจนเกินไปสักหน่อย
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังไซไฟที่เน้นการสำรวจความคิดและอารมณ์ เราขอแนะนำ:
- Arrival (2016): อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของหนังไซไฟยุคใหม่ที่ว่าด้วยการสื่อสารกับผู้มาเยือนและเต็มไปด้วยดราม่าที่ลึกซึ้ง
- Solaris (1972): เวอร์ชั่นต้นฉบับของผู้กำกับ อังเดร ทาร์คอฟสกี ซึ่งเป็นหนังอาร์ตเฮาส์ที่คอหนังตัวจริงควรหามาชม
- Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004): หนังรัก-ไซไฟที่ว่าด้วยการลบความทรงจำและความเจ็บปวดของความรัก
- 2001: A Space Odyssey (1968): ต้นตำรับหนังไซไฟเชิงปรัชญาที่เน้นภาพและแนวคิดมากกว่าพล็อตเรื่อง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังผีหรือหนังเอเลี่ยนน่ากลัวหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่เลยครับ ไม่มีฉากตุ้งแช่หรือสัตว์ประหลาดใดๆ ความน่ากลัวของหนังเรื่องนี้มาจากบรรยากาศที่กดดันและความสับสนทางจิตใจของตัวละคร เป็นความสยองขวัญเชิงปรัชญามากกว่า
Q: หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องช้ามากไหม?
A: ใช่ครับ หนังดำเนินเรื่องช้ามากและเงียบสงบ เป็นหนังที่ต้องการความอดทนและสมาธิจากผู้ชมสูง หากคุณมองหาหนังแอ็คชั่นที่รวดเร็ว เรื่องนี้ไม่ใช่คำตอบครับ
Q: สรุปแล้ว “โซลาริส” คืออะไร?
A: มันคือดาวเคราะห์ที่มีชีวิตและสติปัญญาทั้งดวง เปรียบเสมือนมหาสมุทรที่เป็นสมองขนาดยักษ์ มันสื่อสารกับมนุษย์ด้วยการสร้างสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่สุดขึ้นมา แต่เจตนาที่แท้จริงของมันยังคงเป็นปริศนา
บทสรุป: Solaris คือภาพยนตร์ไซไฟที่งดงาม, เศร้า, และท้าทายความคิด เป็นผลงานที่เหมาะสำหรับผู้ชมที่ต้องการดูหนังที่ให้อะไรมากกว่าความบันเทิงผิวเผิน มันคือบทกวีที่ว่าด้วยความรัก, การสูญเสีย, และการได้โอกาสครั้งที่สอง… แม้ว่าโอกาสนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม