ดูหนัง Sweet Girl (2021) สวีทเกิร์ล
ทุกท่าน! หากคุณกำลังมองหาหนังแอ็คชั่น-ล้างแค้น ที่มีฉากหลังเป็นการเปิดโปงความชั่วร้ายของบริษัทยักษ์ใหญ่ และนำแสดงโดย เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) หรือ “อควาแมน” ของพวกเรา วันนี้คุณมาถูกทางแล้ว! Sweet Girl คือภาพยนตร์ที่จะทำให้การ “ดูหนัง” ของคุณในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเดือด, ความดราม่า, และการหักมุมที่คุณอาจคาดไม่ถึง!
เรื่องย่อ
เรย์ คูเปอร์ (เจสัน โมโมอา) คือชายผู้รักครอบครัวที่ชีวิตต้องพังทลายลง เมื่อภรรยาของเขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง หลังจากที่บริษัทยา BioPrime ตัดสินใจ “ถอน” ยาราคาถูกที่อาจช่วยชีวิตเธอได้ออกจากตลาดไปอย่างกะทันหัน เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
ด้วยความโกรธแค้นและเชื่อว่านี่คือการฆาตกรรมทางอ้อม เรย์สาบานว่าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับภรรยาของเขาให้ได้ เขาเริ่มต้นการเดินทางเพื่อเปิดโปงความจริงอันดำมืดที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของ BioPrime โดยมี เรเชล (อิซาเบลา เมอร์เซด) ลูกสาววัยรุ่นเพียงคนเดียวของเขาคอยอยู่เคียงข้าง
แต่ยิ่งเข้าใกล้ความจริงมากเท่าไหร่ พวกเขาทั้งสองก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เมื่อต้องถูกไล่ล่าจากทั้งนักฆ่ามืออาชีพและเจ้าหน้าที่ FBI เรย์จึงต้องใช้ทักษะการต่อสู้ทั้งหมดที่เขามี ไม่ใช่แค่เพื่อล้างแค้น แต่เพื่อปกป้อง “สวีทเกิร์ล” หรือลูกสาวสุดที่รักของเขา ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเหล่าคนชั่ว movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) รับบทเป็น เรย์ คูเปอร์
- อิซาเบลา เมอร์เซด (Isabela Merced) (จาก Dora and the Lost City of Gold, Transformers: The Last Knight) รับบทเป็น เรเชล คูเปอร์
- ผู้กำกับ: ไบรอัน แอนดรูว์ เมนโดซา (Brian Andrew Mendoza) (นี่คือผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ซึ่งเป็นเพื่อนและโปรดิวเซอร์คู่ใจของเจสัน โมโมอา มาอย่างยาวนาน)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Sweet Girl คือหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ที่พยายามจะ “แตกต่าง” แต่กลับ “สะดุด” ในหลายๆ จุด
- ส่วนที่ดี: การแสดงของ เจสัน โมโมอา ยังคงเปี่ยมด้วยพลังและเสน่ห์ เขาสามารถถ่ายทอดบทบาทพ่อผู้เจ็บปวดและลุกขึ้นสู้ได้อย่างน่าเชื่อถือ อิซาเบลา เมอร์เซด ก็มอบการแสดงที่แข็งแกร่งและเป็นคู่หูที่เข้าขากับโมโมอาได้ดี ฉากแอ็คชั่นในเรื่องทำออกมาได้ดิบและสมจริงพอสมควร
- ส่วนที่แย่ (และเป็นประเด็นใหญ่): ปัญหาหลักของหนังคือ “บทภาพยนตร์” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การหักมุมครั้งใหญ่” (Major Twist) ในช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งหลายคน (ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม) รู้สึกว่ามัน “ไม่สมเหตุสมผล”, “คาดเดาได้ง่าย” (สำหรับบางคน), และทำให้โทนเรื่องที่ปูมาทั้งเรื่องดู “พัง” ลงไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ พล็อตเรื่องการล้างแค้นบริษัทยาก็ค่อนข้างจะซ้ำซากจำเจและขาดความลึกซึ้ง
โดยรวมแล้ว นี่คือหนังแอ็คชั่นที่ “พอดูได้เพลินๆ” จากพลังดาราของเจสัน โมโมอา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำหรือโดดเด่นเป็นพิเศษ และอาจจะทำให้คุณต้อง “เกาหัว” กับตอนจบ
- IMDb: ให้คะแนน 5.5/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 21% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างกว้างขวาง
catochagen
⭐ 6/10
ฉันชอบเจสัน โมโมอา เขาดูเป็นผู้ชายที่น่ารักและมีเสน่ห์มาก และเขามีศักยภาพสูงสำหรับหนังแอ็กชันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่น่าเสียดายที่ตัวละครของเขากลับกลายเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยดีในตอนจบ เพราะหนังพยายามตัดบทบาทของเขาออกไปเพื่อให้เพื่อนร่วมแสดงได้แสดงแทน อิซาเบลา เมอร์เซดเล่นได้ยอดเยี่ยมใน Sicario: Day of the Soldado และเธอจะมีอาชีพการงานที่ดีแน่นอนถ้าเธอต้องการ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้เธอก็โอเค แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เธอเล่นบทนี้ตามที่บทภาพยนตร์เขียนไว้ ในส่วนของการแสดง มานูเอล การ์เซีย-รัลโฟคือนักแสดงที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้ มือสังหารของเขามีศักยภาพสูงในการเป็นตัวร้าย มีบางฉากที่ขโมยซีน แต่น่าเสียดายที่มันเสียเปล่าไปในตอนจบ น่าเสียดายที่การหักมุมในองก์ที่สามทำให้หนังเรื่องนี้พังทลายไปสำหรับผม ผมแค่ไม่ซื้อมัน การละทิ้งความไม่เชื่อในหนังซูเปอร์ฮีโร่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อหนังที่ยึดหลักความเป็นจริงกลับเพิกเฉยต่อหลักฟิสิกส์และความต่อเนื่อง ทำลายกฎเกณฑ์ภายในโลกของมันเอง ผมรู้สึกหงุดหงิด พวกเขาพยายามจะทำลายความคาดหวังของเรา แต่มันก็ไม่ได้ผล
virindra
⭐ 5/10
ฉันชอบหนังของ Jason Mamoa ค่ะ ชอบเขาในฐานะนักแสดงและเรื่องราวเบื้องหลังความเป็นผู้ชาย Succes ไม่ได้ถูกทิ้งไว้ตรงหน้าเขา และเขาต้องฝ่าฟันมันมาด้วยตัวเอง ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นเลย ในฐานะพ่อของลูกสาวคนหนึ่ง ฉันสนุกกับหนังเรื่องนี้มาก ฉากต่อสู้สมจริง เหมือนกับการต่อสู้ของคนทั่วไปในชีวิตจริง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวถึงไม่บอกพ่อให้พาเธอไปด้วย เพราะพ่อจะไม่กลับมา จนกระทั่งถึงจุดหักมุมของเรื่อง ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ฉากไล่ล่ากับรถลากนั้นยอดเยี่ยมมาก ดนตรีประกอบภาพยนตร์เป็นฉากหลังของภาพยนตร์จริงๆ สำหรับฉันแล้วมันค่อนข้างน่าเบื่อ ในหนังแอ็คชั่น ดนตรีประกอบ (เพลงประกอบ) สำคัญมาก ฉันเห็นด้วยกับบทวิจารณ์เชิงลบบางส่วน แต่ตัวละครในภาพยนตร์ ฉันแค่ไม่รู้สึกถึงพวกเขา คุณสามารถให้ผู้ชมรู้สึกถึงคุณในฐานะนักแสดงได้ หากคุณแสดงด้วยอารมณ์ เพื่อแสดงให้ตัวละครของคุณมีมิติมากขึ้น การมองโลกในแง่ร้ายในปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายมาก แค่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ การจดบันทึกความพยายามของใครบางคนในหนัง มันแย่มาก ให้คะแนนหนังเรื่องนี้ต่ำ ซึ่งมันไม่สมควรได้รับเลย ฉันชอบมาก แนะนำให้ไปดูเรื่องนี้นะ และขอร้องทุกคน ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป
OfficialBadPug
⭐ 4/10
Netflix กำลังกลายเป็นหรืออาจจะกลายเป็น Asylum/Anchor bay แห่งใหม่ไปแล้วอย่างรวดเร็ว ปล่อยหนังครึ่งๆ กลางๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า และเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน นักแสดงยอดเยี่ยมมาก นักแสดงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ แต่พระเจ้าช่วย บทหนังห่วยแตก งานกล้องก็ห่วยแตก หมายความว่าพระเจ้าช่วย พวกเขาหาคนกล้องที่เป็นโรคพาร์กินสันคนเดียวเจอได้ยังไงเนี่ย… มันน่าเศร้ามาก บางทีหนัง Netflix 1 ใน 30 เรื่องอาจจะดี ที่เหลือก็แค่ห่วยๆ ฉันรู้ว่ารีวิวนี้ใช้เวลาไปกับ Netflix มากกว่าตัวหนังเอง และนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ ลองเอาโปสเตอร์หนัง Netflix มาดูสิ คุณจะเห็นว่ามันเหมือนกันหมด คล้ายๆ กับหนังคริสต์มาสของ Hallmark นั่นแหละ คุณดูหนังคริสต์มาสของ Hallmark มาเรื่องนึงแล้ว เห็นมาหมดแล้ว แค่นักแสดงคนละคนกัน
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนวแอ็คชั่น-ล้างแค้น เราขอแนะนำ:
- Taken (2008) ฅนคมล่าไม่ยั้ง: ต้นตำรับหนัง “พ่อตามล้างแค้น” แห่งยุคใหม่
- John Wick (2014): มาตรฐานใหม่ของหนังแอ็คชั่นล้างแค้นสุดมันส์
- Peppermint (2018) นางฟ้าห่ากระสุน: หนังล้างแค้นอีกเรื่องที่ตัวเอกเป็นผู้หญิง
- Braven (2018): ผลงานอีกเรื่องของ เจสัน โมโมอา ที่มีธีมเรื่องการปกป้องครอบครัวคล้ายๆ กัน
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญทั้งเรื่องเลยเหรอ?
A: เป็นหนัง “แอ็คชั่น-ทริลเลอร์” ที่มีองค์ประกอบของ “ดราม่า” ครับ มีฉากแอ็คชั่นที่ดุดันสลับกับฉากที่เน้นอารมณ์และความสัมพันธ์ของพ่อลูก
Q: ตอนจบหักมุมจริงเหรอ? มันดีหรือไม่ดี?
A: มีการหักมุมครั้งใหญ่ในช่วงท้ายเรื่องจริงครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วเสียงตอบรับค่อนข้างจะเป็นไปใน “ทางลบ” ครับ หลายคนรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลและทำให้เรื่องราวที่ผ่านมาดูอ่อนลงไป แต่ก็มีผู้ชมบางส่วนที่อาจจะชอบในความกล้าที่จะแตกต่างนี้
Q: หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร?
A: เหมาะสำหรับ “แฟนพันธุ์แท้” ของ เจสัน โมโมอา ที่อยากจะดูเขาทุกเรื่อง หรือคนที่กำลังมองหาหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ของ Netflix ดูฆ่าเวลาแบบไม่ต้องคาดหวังอะไรสูงนัก
บทสรุป: Sweet Girl คือความพยายามที่น่าชื่นชมในการสร้างหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ที่มีประเด็นทางสังคม แต่กลับสะดุดล้มเพราะบทภาพยนตร์ที่ไม่แข็งแรงพอและการหักมุมที่สร้างความกังขามากกว่าความประทับใจ เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ จากพลังของเจสัน โมโมอา แต่สุดท้ายก็เป็นผลงานที่น่าผิดหวังและน่าลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว