นักแสดงนำและผู้กำกับ
- ลอเรน เบอร์เคลล์ (Lauren Birkell) รับบทเป็น เชอร์ลีย์ ลินเนอร์: การแสดงแจ้งเกิดที่กล้าหาญและน่าจับตามอง
- จอห์น เลกิซาโม (John Leguizamo) รับบทเป็น ไมเคิล เบลทราน
- แคทเธอรีน วอเตอร์สตัน (Katherine Waterston) (จาก Fantastic Beasts) ในบทบาทเพื่อนสนิท
- ผู้กำกับ/เขียนบท: เดวิด รอส (David Ross)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Babysitters คือหนังอินดี้ที่ “ยั่วยุ” และ “ชวนขบคิด” อย่างยิ่ง
- คอนเซปต์ที่ท้าทาย: หนังเรื่องนี้กล้าที่จะหยิบเอาประเด็นที่ “ล่อแหลม” และ “น่าอึดอัดใจ” มานำเสนออย่างตรงไปตรงมา มันไม่ได้ตัดสินตัวละคร แต่พยายามจะสำรวจแรงจูงใจและความซับซ้อนทางจิตใจของวัยรุ่นที่เลือกเดินในเส้นทางที่อันตราย
- ไม่ใช่หนังอีโรติก: แม้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ แต่หนังไม่ได้สร้างมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเป็นหลัก แต่มันคือ “ดราม่า-ทริลเลอร์” ที่ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือในการสำรวจประเด็นเรื่องอำนาจ, การควบคุม, และผลกระทบของการตัดสินใจที่ผิดพลาด
- การแสดงที่น่าจดจำ: การแสดงของ ลอเรน เบอร์เคลล์ คือจุดเด่นที่สำคัญ เธอสามารถถ่ายทอดบทบาทที่ซับซ้อนนี้ออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งความไร้เดียงสาและความเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่แตกออกไปอย่างมาก บางส่วนชื่นชมในความกล้าหาญ แต่บางส่วนก็มองว่าหนังนำเสนอประเด็นที่ละเอียดอ่อนนี้ในลักษณะที่ “ฉวยโอกาส” (Exploitative) เกินไป
- IMDb: ให้คะแนน 5.7/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ที่ 41% ซึ่งเป็นคะแนนเสียงแตกอย่างชัดเจน
ฉันชอบดูหนัง
⭐ 6/10
ภาคแรก The Babysitters (2017) เรื่องราวของ “โคล” หนุ่มน้อยใกล้แตกพานวัย 12 ปี เฉิ่มๆ มีนิสัยขี้กลัว ไม่ค่อยสู้คน โดนเพื่อนแกล้งอยู่เสมอ พ่อแม่จึงต้องจ้างพี่เลี้ยง “บี” สาวสวยสุดเอ็กซ์มาประจำตัวไว้คอยดูแล วันหนึ่งพ่อแม่ออกไปค้างคืนข้างนอก จึงทิ้งให้โคลอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงสาวเพียงลำพัง วันนั้นจึงเป็นวันที่แสนพิเศษและสนุกที่สุดสำหรับโคลเพราะลึกๆ แล้วเขาก็แอบหลงรักพี่เลี้ยงสาวแสนสวยคนนี้ ด้วยวัยที่อยากรู้อยากเห็น ว่าหลังเข้านอนแล้วพี่เลี้ยงสาวจะทำอะไรและพาผู้ชายเข้ามาในบ้านอย่างที่เพื่อนข้างบ้านบอกหรือไม่ เมื่อได้เวลาเข้านอนจึงแกล้งหลับ จนผ่านไปสักพักก็ย่องเบาไปแอบดูที่บันได เห็นพี่เลี้ยงสาวพากลุ่มเพื่อนเข้ามาในบ้านจริงๆ และกำลังเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น… เมื่อพี่เลี้ยงสาวแสนสวยได้ฆ่าเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มอย่างไม่ปราณี โคลช็อคสุดขีดเมื่อรู้ว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไป เพราะพวกมันต้องการเลือดผู้บริสุทธิ์ ได้ทำสัญญากับปีศาจไว้ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ จึงตั้งสติและหาทางเอาตัวรอดให้ได้
ใครที่เคยดูแล้วคงจะรู้ว่า จุดจบของภาคแรกเป็นยังไง ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูและไม่อยากรู้เนื้อหาหลังจากนี้ก็ผ่านไป มีสปอยล์อยู่ เหมือนเป็นหนังขั้วตรงข้ามของ Better Watch Out เด็กโรคจิตกับพี่เลี้ยงสาว แต่กลับกันเรื่องนี้พี่เลี้ยงสาวโรคจิตแทน เป็นหนังสยองขวัญ ที่ลุ้นระทึกขวัญ ดูสนุก แอบมีความคอมเมดี้อยู่ด้วย เรียกว่าเป็นหนังสยองขวัญคอมเมดี้เลยก็ได้ ฉากโหดมีเยอะ แต่มันดูซอฟท์ลงเพราะความคอมเมดี้ของหนังนั่นแหละ ถ้าใครที่ดูหนังแล้วชอบคิดหาความสมเหตุสมผล อาจดูไม่สนุก หรือไม่ชอบเลยก็ได้ แต่สำหรับผมแล้วชอบสไตล์แบบนี้อยู่แล้ว ดูจบแล้วชอบมาก
อีกส่วนหนึ่งที่ชอบก็คือนักแสดงในเรื่องนี่แหละ Bella Thorne สาวแซ่บ บทอาจจะไม่เด่นอะไร แต่มีซีนน่าจดจำ แอบฮา (ฉากจูบสุดสยิวกับพี่เลี้ยงสาวยังตราตรึง ) และอีกคนคือพี่เลี้ยงสาวสวย Samara Weaving ตาหวานเยิ้มจริงๆ❤️ มาต่อกันที่ภาคสองใช้ชื่อว่า The Babysitter: Killer Queen (2020) จะเป็นเรื่องราวหลังจากนั้น 2 ปี โคลโตเป็นหนุ่มขึ้น แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงตามหลอกหลอน เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นโรคจิต หลอนไปเองจนต้องกินยาระงับประสาท พบหมอเป็นระยะ มีคนเดียวที่เชื่อก็คือ “เมลานี” สาวน้อยข้างบ้านที่รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่เธอไม่อยากให้โคลจมปลักกับอดีตที่ฝั่งใจ จึงพยายามให้โคลออกนอกกรอบดูบ้าง ทำอะไรที่ปลดปล่อยตัวเอง จึงพากันไปเที่ยวปาร์ตี้ริมหาด โดยที่โคลไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความสยองขวัญครั้งใหม่ที่เขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดอีกครั้ง
ตอนแรกไม่รู้เลยว่าจะมีภาคสอง เห็นใน Netflix ก็อ้าวมีภาคสองด้วย ไม่เคยเห็นข่าวมาก่อนเลย ที่สำคัญนักแสดงชุดเดิมกลับมาครบทีม ชอบตรงนี้แหละ แต่ประเด็นคือลืมเรื่องราวในภาคแรกไปแล้ว เปิดภาคสองมาเลยมันไม่อิน เลยต้องย้อนกลับไปดูอีกครั้ง เพื่อเก็บรายละเอียด มันช่วยเพิ่มอรรถรสในการดูภาคสองได้จริงๆ แนะนำเลยว่าก่อนดูภาคสอง ให้ย้อนกลับไปดูแรกอีกครั้ง ภาคนี้ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักแสดงหลายๆ คน เห็นเลยว่าเด็กฝรั่งโตเร็วมาก ผ่านไป 3 ปี โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอย่างไว สาวน้อยข้างบ้านในวั้นนั้น พอโตมาในวันนี้แซ่บเหลือเกิน ส่วน Samara Weaving สวยเหมือนเดิม แค่ดูผอมลง จริงๆ ชอบหุ่นแบบภาคแรกมากกว่านะ มีเนื้อหนังหน่อยๆ นักแสดงคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเท่าไร พูดถึงความสนุก ระทึกขวัญ ไม่แพ้ภาคแรกเลย เปิดเรื่องมามีความใช้กิมมิคเดิมจากภาคแรกในเวอร์ชั่นที่โตขึ้น (เลยแอบงงนึกว่าเปิดภาคแรก) แต่ยังคงสไตล์และกลิ่นอายในภาคแรกเอาไว้ มีอะไรเหนือความคาดเดามากกว่าในภาคแรก ในแบบที่เราไม่คาดคิด แต่ก็จบแบบที่ทำให้เรารู้สึกดี น่าจะไม่มีภาคต่อแล้วล่ะมั้ง ใครที่ชื่นชอบหนังสยองขวัญคอมเมดี้สไตล์นี้ ไม่ควรพลาดเลย ต้องดูภาคแรกก่อนนะ และต่อด้วยภาคสอง มีใน Netflix ทั้งสองภาคเลย
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณสนใจหนังที่สำรวจด้านมืดของวัยรุ่นและการก้าวข้ามวัย เราขอแนะนำ (ด้วยความระมัดระวัง):
- Thirteen (2003) วัยร้อน…ร้อยรัก: หนังดราม่าสุดดิบเถื่อนที่ตีแผ่ชีวิตวัยรุ่นหญิงได้อย่างสมจริงจนน่าตกใจ
- American Beauty (1999): แม้จะเล่าจากมุมมองผู้ใหญ่ แต่ก็มีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามกับเด็กสาววัยรุ่น
- Cruel Intentions (1999) วัยร้ายวัยรัก: หนังวัยรุ่นอีกเรื่องที่ว่าด้วยเกมรักและการชักใยที่อันตราย
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังอีโรติกใช่ไหม?
A: มีองค์ประกอบอีโรติกและฉากเพศสัมพันธ์ที่โจ่งแจ้งครับ แต่แก่นแท้ของหนังคือ “ดราม่า-ทริลเลอร์” ที่สำรวจประเด็นที่มืดมน ไม่ใช่หนังที่เน้นความเซ็กซี่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว
Q: หนังเรื่องนี้น่ากลัวหรือดาร์กแค่ไหน?
A: ค่อนข้าง “ดาร์ก” และ “น่าอึดอัดใจ” ครับ ไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่เป็นหนังดราม่าที่ตีแผ่ด้านมืดของสังคมและจิตใจมนุษย์ ซึ่งอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจผู้ชมบางท่านได้
Q: หนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไร?
A: หนังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ทิ้งคำถามไว้ให้ผู้ชมขบคิดเกี่ยวกับศีลธรรม, แรงกดดันในสังคมวัยรุ่น, และผลที่ตามมาของการตัดสินใจที่ผิดพลาด
บทสรุป: The Babysitters คือภาพยนตร์อินดี้ที่ทั้งกล้าหาญและเป็นที่ถกเถียง เป็นผลงานที่จะท้าทายความคิดและติดอยู่ในใจของคุณไปอีกนาน ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดมันก็ตาม หากคุณเป็นคอหนังที่ใจกล้าและมองหาอะไรที่ “แตกต่าง” และ “แรง”… หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นคำตอบ