ดูหนัง The Great Raid (2005) 121 ตะลุยนรกมฤตยู
ทุกท่าน! หากคุณชื่นชอบภาพยนตร์สงครามที่ไม่ได้เน้นแค่ความมันส์ระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่เน้น “กลยุทธ์”, “ความสมจริง”, และ “ดราม่าที่จับใจ” วันนี้คุณมาถูกทางแล้ว The Great Raid คือภาพยนตร์ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับหนึ่งในภารกิจช่วยชีวิตที่กล้าหาญและประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐอเมริกา
เรื่องย่อ
เรื่องราวเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1945 ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศฟิลิปปินส์ เชลยศึกชาวอเมริกันกว่า 500 นายที่รอดชีวิตจากการเดินเท้ามรณะแห่งบาตาอัน กำลังถูกคุมขังอยู่ในค่ายกักกัน “คาบานาตวน” ที่โหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น และเมื่อสถานการณ์สงครามเริ่มพลิกผัน ก็มีคำสั่งลงมาให้ “สังหาร” เชลยศึกทั้งหมดเพื่อทำลายหลักฐาน!
กองทัพสหรัฐฯ จึงได้มอบหมายภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้กับ พันโทเฮนรี่ มูซี่ (เบนจามิน แบรตต์) และกองกำลังทหารหน่วยจู่โจมที่ 6 ของเขา นำโดย ร้อยเอกโรเบิร์ต ปริ๊นซ์ (เจมส์ ฟรังโก) พวกเขาต้องเดินทางเท้าลึกเข้าไปในแดนศัตรูกว่า 30 ไมล์ และบุกจู่โจมค่ายกักกันที่มีการป้องกันแน่นหนา เพื่อชิงตัวเชลยทั้งหมดออกมาก่อนที่พวกเขาจะถูกสังหารหมู่
หนังเล่าเรื่องราวผ่าน 3 มุมมองที่ขนานกันไป:
- ฝ่ายหน่วยจู่โจม: ที่ต้องวางแผนการรบที่ต้องสมบูรณ์แบบและไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด
- ฝ่ายเชลยศึก: นำโดย พันตรี กิ๊บสัน (โจเซฟ ไฟนส์) ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากความอดอยาก, โรคภัย, และความโหดร้ายในค่าย
- ฝ่ายหน่วยต่อต้านใต้ดิน: กลุ่มนักรบกองโจรชาวฟิลิปปินส์และ มาร์กาเร็ต (คอนนี่ นีลเซน) พยาบาลสาวผู้กล้าหาญ ที่คอยลักลอบส่งยาและอาหารเข้าไปในค่ายเพื่อต่อชีวิตให้เหล่าเชลย movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เบนจามิน แบรตต์ (Benjamin Bratt) รับบทเป็น พันโทเฮนรี่ มูซี่
- เจมส์ ฟรังโก (James Franco) รับบทเป็น ร้อยเอกโรเบิร์ต ปริ๊นซ์
- โจเซฟ ไฟนส์ (Joseph Fiennes) รับบทเป็น พันตรีกิ๊บสัน
- คอนนี่ นีลเซน (Connie Nielsen) รับบทเป็น มาร์กาเร็ต อูทินสกี้
- ผู้กำกับ: จอห์น ดาห์ล (John Dahl) ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญในหนังแนวทริลเลอร์ที่มีชั้นเชิง
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Great Raid คือหนังสงครามสไตล์ “คลาสสิก” ที่โดดเด่นและแตกต่างจากหนังสงครามยุคใหม่อย่าง Saving Private Ryan
- ความสมจริงและเคารพประวัติศาสตร์: หนังเรื่องนี้โดดเด่นอย่างมากในการนำเสนอเรื่องราวตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างซื่อตรง มันให้ความสำคัญกับ “การวางแผน” และ “กลยุทธ์” ในการจู่โจม ทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงความยากลำบากและความซับซ้อนของภารกิจจริงๆ
- ดราม่าที่เข้มข้น: หนังใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปูพื้นและสร้างความผูกพันให้เรากับตัวละครทั้งสามฝ่าย ทำให้เราเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานของเหล่าเชลยและความกล้าหาญของหน่วยต่อต้านใต้ดิน ซึ่งทำให้ฉากปฏิบัติการช่วยเหลือในตอนท้ายยิ่งทรงพลังและน่าเอาใจช่วยมากขึ้น
- หนังสงครามที่ไม่เน้นความรุนแรง: แม้จะมีฉากรบที่ดุเดือด แต่หนังไม่ได้เน้นภาพความรุนแรงที่โหดร้าย แต่เน้นไปที่ความตึงเครียดและความกล้าหาญของเหล่าทหารมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างช้าและจริงจัง ก็อาจจะทำให้ผู้ชมที่คาดหวังจะเห็นฉากแอ็คชั่นแบบนอนสต็อปรู้สึกว่าหนังดำเนินเรื่องช้าเกินไป
- IMDb: ให้คะแนน 6.7/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ที่ 38% ซึ่งเป็นคะแนนที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากหนังถูกมองว่ามีสไตล์ที่ “ล้าสมัย” และไม่น่าตื่นเต้นเท่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ในยุคเดียวกัน
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังสงครามที่สร้างจากเรื่องจริงและเน้นดราม่า เราขอแนะนำ:
- Saving Private Ryan (1998): หากคุณชอบธีมเรื่อง “ภารกิจช่วยเหลือ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2
- Black Hawk Down (2001): หนังที่ว่าด้วยหน่วยทหารที่ต้องเอาชีวิตรอดกลางวงล้อมศัตรู
- Hacksaw Ridge (2016): อีกหนึ่งเรื่องจริงสุดเหลือเชื่อของวีรบุรุษในสนามรบแปซิฟิก
- The Bridge on the River Kwai (1957): หนังคลาสสิกในตำนานที่ว่าด้วยชีวิตของเชลยศึกในค่ายกักกัน
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง 100% หรือไม่?
A: ใช่ครับ หนังอิงจากเหตุการณ์ “การจู่โจมค่ายคาบานาตวน” ที่เกิดขึ้นจริงอย่างใกล้ชิดมาก และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภารกิจช่วยเหลือที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐฯ
Q: หนังเรื่องนี้แอ็คชั่นเยอะเหมือน Saving Private Ryan ไหม?
A: ไม่เยอะเท่าครับ หนังจะดำเนินเรื่องในสไตล์ “ดราม่า-ทริลเลอร์” ในช่วง 2 ใน 3 แรกของเรื่อง เพื่อปูพื้นเรื่องราวและสร้างความกดดัน ส่วน 1 ใน 3 สุดท้ายจะเป็นฉากปฏิบัติการจู่โจมที่ยาวนาน, ตึงเครียด, และน่าตื่นเต้นครับ
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงไม่ประสบความสำเร็จ?
A: เนื่องจากหนังถูกเลื่อนฉายไปนานหลายปี และเมื่อออกฉาย สไตล์การเล่าเรื่องที่ดู “คลาสสิก” และ “เชื่องช้า” ก็อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมในยุคนั้นที่คุ้นเคยกับหนังสงครามที่รวดเร็วและดิบเถื่อนกว่า แต่สำหรับคอหนังสงครามตัวจริง นี่คือหนังคุณภาพที่ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
บทสรุป: The Great Raid คือภาพยนตร์สงครามคุณภาพดีที่บอกเล่าเรื่องจริงอันน่าทึ่งได้อย่างน่าเคารพและทรงพลัง เป็นหนังที่อาจจะดำเนินเรื่องช้า แต่ก็จะมอบรางวัลตอบแทนเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่น่าตื่นเต้นและเรื่องราวของความกล้าหาญที่น่าประทับใจ หากคุณเป็นแฟนหนังสงครามและประวัติศาสตร์ นี่คือผลงานที่คุณไม่ควรพลาด