ดูหนัง The Tin Mine (2005) มหาลัยเหมืองแร่
ทุกท่าน! หากจะพูดถึงหนังไทยที่ “ดีที่สุด” ตลอดกาล ชื่อของ มหา’ลัยเหมืองแร่ จะต้องติดอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือภาพยนตร์จากค่ายคุณภาพ GTH (ในยุคนั้น) และฝีมือของผู้กำกับระดับครู เก้ง-จิระ มะลิกุล ที่จะทำให้การ “ดูหนัง” ของคุณในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความประทับใจไม่รู้ลืม
เรื่องย่อ
หนังสร้างจากเรื่องสั้นกึ่งอัตชีวประวัติของศิลปินแห่งชาติ อาจินต์ ปัญจพรรค์ เรื่องราวเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2492 อาจินต์ (พิชญะ วัชจิตพันธ์) นิสิตปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูก “รีไทร์” ออกจากมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ พ่อของเขาจึงตัดสินใจส่งเขาไปดัดนิสัยและเรียนรู้ชีวิต ด้วยการไปทำงานที่เหมืองแร่ดีบุกอันห่างไกลในป่าลึกของอำเภอกะปง จังหวัดพังงา
จากเด็กหนุ่มเมืองกรุงผู้ไม่เคยลำบาก อาจินต์ต้องมาเผชิญหน้ากับโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก The Tin Mine ที่นี่… คือ “มหา’ลัยเหมืองแร่” มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตที่ไม่มีปริญญาให้ แต่เต็มไปด้วยบทเรียนที่ล้ำค่า
“คณบดี” คือ นายฝรั่งร่างยักษ์ผู้จัดการเหมือง
“อาจารย์” คือ พี่จอร์จ นายช่างใหญ่ผู้ปากร้ายใจดี
“เพื่อนร่วมรุ่น” คือเหล่ากรรมกรและชาวบ้านผู้ใช้แรงงาน
หนังพาเราไปติดตามชีวิตของอาจินต์ตลอดระยะเวลา 4 ปีในเหมืองแร่ เขาต้องเรียนรู้ที่จะทำงานหนัก, เรียนรู้ที่จะล้มเหลว, และเรียนรู้ถึงคุณค่าของมิตรภาพ, การเคารพซึ่งกันและกัน, และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทั้งสนุกสนาน, ตื่นเต้น, และซาบซึ้งใจ movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
พิชญะ วัชจิตพันธ์ รับบทเป็น อาจินต์ ปัญจพรรค์
สนธยา ชิตมณี (สน The Star) ในบทบาทที่น่าจดจำ
ดลยา หมัดชา รับบทเป็น พี่แดง
ผู้กำกับ: จิระ มะลิกุล (เก้ง) ปรมาจารย์แห่งวงการหนังไทย ผู้ร่วมก่อตั้งค่าย GTH และเป็นผู้กำกับจากผลงานขึ้นหิ้งอย่าง 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งลายเซ็นของเขาในการเล่าเรื่องที่มีหัวใจความเป็นไทยและงดงามทางด้านภาพปรากฏชัดเจนในเรื่องนี้
สร้างจากเรื่องราวของ: อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวและบทวิเคราะห์
มหา’ลัยเหมืองแร่ คือภาพยนตร์ไทยที่ “สมบูรณ์แบบ” ในทุกองค์ประกอบ
บทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม: หนังดัดแปลงจากวรรณกรรมได้อย่างมีชีวิตชีวา ทุกตัวละครมีเสน่ห์และน่าจดจำ บทสนทนาเต็มไปด้วยความคมคาย, อารมณ์ขัน, และปรัชญาการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง
งานภาพที่งดงามระดับโลก: หนังเรื่องนี้มีงานกำกับภาพที่ “สวยงาม” อย่างที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังไทย ภาพของเหมืองแร่และธรรมชาติของภาคใต้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีศิลปะและน่าตื่นตาตื่นใจ
การเฉลิมฉลองชีวิตคนธรรมดา: The Tin Mine หัวใจของหนังคือการยกย่อง “คนทำงาน” และแสดงให้เห็นว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต อาจไม่ได้อยู่ในห้องเรียน แต่มาจากการลงมือทำและเรียนรู้จากผู้คนรอบตัว
หนังเรื่องนี้กวาดรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึง รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ผู้กำกับยอดเยี่ยม และยังได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการส่งเข้าชิงรางวัล “ออสการ์” สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.7/10
Rotten Tomatoes: แม้จะไม่มีคะแนนอย่างเป็นทางการ แต่หนังเรื่องนี้คือผลงานที่นักวิจารณ์ไทยต่างยกย่องเป็นเสียงเดียวกัน
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนัง Coming-of-Age ที่สร้างจากเรื่องจริงและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ เราขอแนะนำ:
แฟนฉัน (My Girl) (2003) : อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซจากยุค GTH ที่เล่าเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กได้อย่างงดงาม
Forrest Gump (1994) : หนังฮอลลีวูดในตำนานที่ว่าด้วยการเดินทางผ่านชีวิตอันน่าทึ่งของชายคนหนึ่ง
Good Will Hunting (1997) : เรื่องราวของอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ในชนชั้นแรงงานและการค้นพบตัวเอง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงเหรอ?
A: ใช่ครับ! สร้างจากหนังสือรวมเรื่องสั้นกึ่งอัตชีวประวัติของ “อาจินต์ ปัญจพรรค์” ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเล่าจากประสบการณ์จริงของท่านสมัยที่ไปทำงานในเหมืองแร่หลังจากถูกรีไทร์จากจุฬาฯ
Q: เป็นหนังดราม่าหนักๆ น่าเบื่อหรือเปล่า?
A: ไม่เลยครับ! แม้จะเป็นหนังชีวิต แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่น่ารักและอบอุ่น เป็นหนังแนว “Slice-of-life” ที่ดูง่ายและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง คุณจะหัวเราะและยิ้มไปกับตัวละครได้ตลอดทั้งเรื่อง
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังไทยคลาสสิก?
A: เพราะเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของเรื่องราวชั้นเยี่ยมจากวรรณกรรม, การกำกับระดับปรมาจารย์ของ จิระ มะลิกุล, งานภาพที่สวยงาม, และข้อความที่เป็นสากลเกี่ยวกับบทเรียนของชีวิต ทำให้มันกลายเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบและเหนือกาลเวลา
บทสรุป: มหา’ลัยเหมืองแร่ คือภาพยนตร์ไทยระดับ “ต้องดู” ที่จะทำให้คุณหัวเราะ, ซาบซึ้ง, และได้รับแรงบันดาลใจอย่างเต็มเปี่ยม เป็นบทพิสูจน์ว่ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ก็คือ “มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต” นั่นเอง