ดูหนัง Yamato (2005) ยามาโต้ พิฆาตยุทธการ
ทุกท่าน! หากคุณชื่นชอบหนังสงครามฟอร์มยักษ์ที่ไม่ได้มีแค่ฉากรบสุดอลังการ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่าของเหล่าทหารหาญที่จับใจ วันนี้คุณมาถูกทางแล้ว! Yamato คือภาพยนตร์ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับชะตากรรมของลูกเรือบน “เรือประจัญบานยามาโต้” สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” ที่เป็นมากกว่าแค่หนังแอ็คชั่น แต่คือบทบันทึกที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับสงคราม, มิตรภาพ, และการเสียสละ
เรื่องย่อ
เรื่องราวเล่าผ่านความทรงจำของ คัตสึมิ คามิโอะ (ทัตสึยะ นากาได) ชายชราผู้รอดชีวิตจากเรือรบยามาโต้ ที่กำลังเดินทางไปยังจุดที่เรืออับปางเมื่อ 60 ปีก่อน ความทรงจำของเขาได้พาเราย้อนกลับไปยังปี 1945 ช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะได้ติดตามเรื่องราวผ่านสายตาของ คามิโอะในวัยหนุ่ม (เคนอิจิ มัตสึยามะ) และเหล่าทหารหนุ่มรุ่นเยาว์ที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาประจำการบนเรือประจัญบานยามาโต้ที่น่าเกรงขาม พวกเขาเต็มไปด้วยความฝันและความรักชาติ แต่ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายของสงคราม
การฝึกฝนที่เข้มงวด, และมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเป็นความตาย เรื่องราวทั้งหมดนำไปสู่ “ภารกิจสุดท้าย” ที่เป็นเหมือนการเดินทางไปสู่ความตาย… ปฏิบัติการเท็นโง ที่เรือรบยามาโต้ซึ่งเปรียบเสมือนปราการเหล็กสุดท้ายของญี่ปุ่น ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตายที่โอกินาว่า โดยไม่มีกองเรือสนับสนุนหรือเครื่องบินคุ้มกันแม้แต่ลำเดียว! พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝูงบินรบของอเมริกันนับร้อยลำเพียงลำพัง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอวสานที่ยิ่งใหญ่และน่าเศร้าที่สุดของเรือรบในตำนานลำนี้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เคนอิจิ มัตสึยามะ (Kenichi Matsuyama) (L จาก Death Note) รับบทเป็น คามิโอะ (วัยหนุ่ม)
- ทัตสึยะ นากาได (Tatsuya Nakadai) (นักแสดงในตำนานคู่บุญของผู้กำกับ อากิระ คุโรซาวา) รับบทเป็น คามิโอะ (วัยชรา)
- ทาคาชิ โซริมาจิ (Takashi Sorimachi) (อดีต GTO) รับบทเป็น โชฮาจิ โมริวากิ
- นากามูระ ชิโด ที่ 2 (Nakamura Shidō II) รับบทเป็น มาโมรุ อุจิดะ
- ผู้กำกับ: จุนยะ ซาโต้ (Junya Sato)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Yamato คือมหากาพย์สงครามที่สมบูรณ์แบบและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
- งานสร้างที่ยิ่งใหญ่และสมจริง: หนังเรื่องนี้โดดเด่นอย่างมากในการ “จำลอง” เรือรบยามาโต้ขึ้นมาใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในรายละเอียดของตัวเรือและชีวิตความเป็นอยู่ของลูกเรือ และที่สำคัญคือ “ฉากรบสุดท้าย” ที่ทำออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่, ดุเดือด, และน่าสะเทือนใจ เป็นหนึ่งในฉากรบทางทะเลที่ดีที่สุด
- เรื่องราวที่เน้นความเป็นมนุษย์: แม้จะเป็นหนังสงคราม แต่หัวใจของหนังกลับอยู่ที่ “ดราม่า” หนังไม่ได้เชิดชูสงคราม แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความสูญเสียผ่านสายตาของเหล่าทหารหนุ่มที่ยังไม่เคยเห็นโลกกว้าง มันคือหนัง “ต่อต้านสงคราม” (Anti-war) ที่ทรงพลัง
- การแสดงที่ยอดเยี่ยม: การได้นักแสดงระดับตำนานอย่าง ทัตสึยะ นากาได มาเป็นผู้เล่าเรื่อง ช่วยเพิ่มน้ำหนักและความขลังให้กับหนังได้อย่างมหาศาล ในขณะที่ทีมนักแสดงหนุ่มก็ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างน่าเชื่อถือ
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.1/10
- แม้จะไม่มีคะแนนใน Rotten Tomatoes แต่หนังเรื่องนี้คือปรากฏการณ์ Box Office ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับของคอหนังสงครามทั่วโลก
wandering-star
⭐ 6/10
ผมเกือบจะอ่านหนังสือดีๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 จบแล้ว การรบทางเรือนั้นน่าอ่านมาก ดังนั้นเมื่อผมเห็นหนังเรื่องนี้ในห้างสรรพสินค้าเอเชียแถวบ้าน ผมก็เลยหยิบมันขึ้นมา ยามาโตะ (ชื่อเก่าของญี่ปุ่น) มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เริ่มจากข้อดี ผมรู้สึกว่าเรื่องราวน่าสนใจมาก คือการที่กองเรือที่สองที่เหลือได้บุกโอกินาวาในภารกิจที่ทุกคนรู้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพราะขาดการสนับสนุนทางอากาศ (กองทัพอากาศญี่ปุ่นถูกบดขยี้ที่ไซปันในที่สุด) การแสดงบางส่วนยอดเยี่ยมมาก ผมคิดว่าอุชิดะโดดเด่นมาก เท่าที่ผมเห็น หนังเรื่องนี้มีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มาก ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “บูชิโด” บางส่วนน่าสนใจ โดยเฉพาะคำอธิบายของพลเรือเอกเกี่ยวกับบูชิโดกับอัศวินอังกฤษ และเอฟเฟกต์บางอย่างก็ค่อนข้างดีเช่นกัน
ข้อเสีย… หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหนังโทรทัศน์ อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว เอฟเฟกต์บางอย่างดี แต่บางอย่างก็ห่างไกลจากคำว่ายอดเยี่ยม ผู้กำกับไม่กล้าที่จะฉายภาพส่วนใหญ่ของเรือ หรือทั้งลำ อาจเป็นเพราะงบประมาณจำกัด แต่ผมกลับรู้สึกอยากดูฉากของเรือขนาดยักษ์ขนาด 65,000 ตันลำนี้จริงๆ เห็นได้ชัดว่าหนังทั้งเรื่องถ่ายทำในสตูดิโอ พวกเขาน่าจะลงทุนซื้อท่อเหล็กขนาดใหญ่สำหรับปืนต่อสู้อากาศยาน เพราะมันสั่นไหวเหมือนของเล่น อีกอย่าง ในฉากสนทนาเงียบๆ ควรมีเสียงเครื่องยนต์เรือดังสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลา เพื่อเพิ่มภาพลวงตาให้เหมือนเรากำลังอยู่บนเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก แต่ผมก็ชอบนะ ใครที่สนใจประวัติศาสตร์กองทัพเรือญี่ปุ่นก็คงจะชอบเหมือนกัน แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ตาม
claudio_carvalho
⭐ 6/10
วันที่ 6 เมษายน 2548 ที่เมืองมาคุระซิ จังหวัดคาโกชิมะ มากิโกะ อุจิดะ (เคียวกะ ซูซูกิ) กำลังมองหาเรือจากสหกรณ์ประมงท้องถิ่นเพื่อพาเธอไปยังละติจูด N30 ลองจิจูด L128 ซึ่งเป็นจุดที่เรือประจัญบานยามาโตะที่ใหญ่ที่สุด หนักที่สุด และมีอาวุธทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ถูกจมลงเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2488 แต่คำขอของเธอถูกปฏิเสธ เธอได้พบกับกัปตันคัตสึมิ คามิโอะ (ทัตสึยะ นากาได) แห่งเรือประมงอาสึกะมารุโดยบังเอิญ และเปิดเผยว่าเธอเป็นลูกเลี้ยงของเจ้าหน้าที่นาโกย่า อุจิดะ (ชิโด นากามูระ) และคามิโอะก็ตกลงรับเธอไปร่วมเดินทางอันเสี่ยงอันตรายทันที ขณะเดินทางกับมากิโกะและอัตสึจิ (โซสึเกะ อิเคมัตสึ) วัยสิบห้าปี คามิโอะเล่าและเล่าเรื่องราวของยามาโตะและเพื่อนสนิทที่เคยประจำการบนเรือประจัญบานจนกระทั่งถึงภารกิจฆ่าตัวตายครั้งสุดท้ายที่โอกินาว่า เมื่อไปถึงจุดที่ยามาโตะจมลง เขาคิดว่าตัวเองได้มาถึงจุดสิ้นสุดของยุคโชวะแล้ว
“Otoko-tachi no Yamato” เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริงของเรือรบยามาโตะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอมุมมองความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นในสงครามที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพยนตร์อเมริกันและยุโรปแนวเดียวกันที่มักมองทหารญี่ปุ่นเป็นนักฆ่าเลือดเย็นที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ ใน “ยามาโตะ!” ทหารญี่ปุ่นเป็นมนุษย์ที่มีคนรัก ครอบครัว และมิตรภาพร่วมกัน ทำให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับจุนยะ ซาโตะ ได้เน้นย้ำเรื่องราวรองที่เกินจริง และในหลายฉากผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังดูละครน้ำเน่ามากกว่าละครดราม่า ฉากสุดท้ายของยามาโตะนั้นน่าติดตามและเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดนตรีประกอบซ้ำซากและน่าเบื่อ ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบเลย สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ยุคโชวะที่คัตสึมิ คามิโอะกล่าวถึงในบรรทัดสุดท้ายของเขานั้น ตามข้อมูลในวิกิพีเดีย หมายความว่า “ยุคแห่งสันติภาพอันสว่างไสว” หรือยุคโชวะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ตรงกับรัชสมัยของจักรพรรดิโชวะ (ฮิโรฮิโตะ) ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 ถึง 7 มกราคม ค.ศ. 1989 ผมโหวตให้เจ็ดคะแนน
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังมหากาพย์สงครามที่เน้นดราม่า เราขอแนะนำ:
- Letters from Iwo Jima (2006): มาสเตอร์พีซของ คลินต์ อีสต์วูด ที่เล่าเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2 จากมุมมองของฝั่งทหารญี่ปุ่น
- Das Boot (1981): หนังเรือดำน้ำจากเยอรมนี ที่ถ่ายทอดความกดดันและความโหดร้ายของสงครามใต้ทะเลได้อย่างสมจริงที่สุด
- Pearl Harbor (2001): หนังฮอลลีวูดที่เล่าเรื่องโศกนาฏกรรมทางทะเลในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกัน แต่เน้นความโรแมนติกมากกว่า
- Dunkirk (2017): หนังสงครามอีกเรื่องที่ว่าด้วยการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังเชิดชูสงครามหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่เลยครับ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นี่คือหนัง “ต่อต้านสงคราม” ที่ทรงพลังเรื่องหนึ่ง แม้จะแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของเหล่าทหาร แต่ข้อความหลักของหนังคือการนำเสนอโศกนาฏกรรมและความสูญเสียที่น่าเศร้าของสงคราม
Q: “ยามาโต้” คือเรืออะไร? ทำไมถึงโด่งดัง?
A: เรือประจัญบาน “ยามาโต้” คือเรือรบที่ “ใหญ่ที่สุดและมีปืนใหญ่ที่ทรงพลังที่สุด” เท่าที่เคยมีการสร้างมาในประวัติศาสตร์ครับ มันคือสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและแสนยานุภาพของกองทัพเรือญี่ปุ่นในยุคนั้น การอับปางของมันจึงเปรียบเสมือนจุดจบของยุคสมัยเรือประจัญบาน
Q: ฉากแอ็คชั่นในเรื่องเยอะไหม?
A: ช่วง 2 ใน 3 ของหนังจะเป็นแนว “ดราม่า” ที่เน้นชีวิตของลูกเรือบนเรือครับ แต่ 1 ใน 3 สุดท้ายของเรื่องคือ “ฉากรบที่ยาวนาน, ยิ่งใหญ่, และน่าตื่นตาตื่นใจ” แต่ก็สะเทือนอารมณ์อย่างมาก
บทสรุป: Yamato คือภาพยนตร์มหากาพย์สงครามที่ทั้งยิ่งใหญ่, งดงาม, และบีบคั้นหัวใจ เป็นผลงานที่คอหนังสงครามและหนังดราม่า “ต้องดู” สักครั้งในชีวิต มันคือการเดินทางที่น่าเศร้าแต่ก็ทรงพลัง ที่จะทำให้คุณได้เห็นถึงอีกมุมหนึ่งของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2