ดูหนัง Olympus Has Fallen (2013) ฝ่าวิกฤติ วินาศกรรมทำเนียบขาว
กลุ่มหัวรุนแรงที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีและอาวุธครบมือกลุ่มเล็ก ๆ ได้ทำการอุกอาจเข้ายึดทำเนียบขาวกลางวันแสกๆ พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในทำเนียบและจับตัวประธานาธิบดีเบนจามิน แอชเชอร์ (แอรอน เอ็คฮาร์ท) และเจ้าหน้าที่ของเขาเป็นตัวประกันภายในหลุมหลบภัยใต้ดินของประธานาธิบดี ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ขณะที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่ลานสนามหญ้าหน้าทำเนียบขาว ไมค์ แบนนิ่ง (เจอราร์ด บัตเลอร์) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ก็กระโจนเข้าร่วมวงด้วย ก่อนที่เขาจะพบว่าเขาเป็นสมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในอาคารที่ถูกยึดหลังนี้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Gerard Butler
Aaron Eckhart
Morgan Freeman
Angela Bassett
ผู้กำกับ : Antoine Fuqua
รีวิว
เซียวเล้ง
[CR] [Review] Olympus Has Fallen – เมื่อ “ความยิ่งใหญ่” โดนสั่นคลอน
ย้อนไปเมื่อ 11 กันยายน ปี 2001 กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้จี้เครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมด 4 ลำ และบังคับให้บินพุ่งเข้าหาสถานที่สำคัญ 3 แห่งของสหรัฐอเมริกา 2 ลำพุ่งเข้าตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ 1 ลำพุ่งเข้าตึกเพตากอน (กระทรวงกลาโหม) และอีก 1 ลำ แม้จะตกเสียก่อน แต่ก็คาดการณ์ว่าจะพุ่งเข้าตึก “ทำเนียบขาว” การเบือกเป้าหมายทั้ง 3 แห่ง นอกจากจะเพราะเป็นสถานที่สำคัญแบ้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แทน “ความยิ่งใหญ่” ของสหรัฐฯ อีกด้วย ตึกเวิลด์เทรดฯ คือความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ตึกเพนตากอนคือความยิ่งใหญ่ทางทหาร และตึกทำเนียบขาวคือความยิ่งใหญ่ทาง “การเมือง” ทั้ง 3 อย่างรวมกันทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นมหาอำนาจของโลก การทำลายสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากการทำลายความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ ลงในเหตุการณ์จริง ทำเนียบขาว ยังไม่โดนทำลาย แต่ใน Olympus Has Fallen มันเกิดขึ้นแล้ว
ในทางรัฐศาสตร์และนิเทศศาสตร์ มีหลายท่านเคยวิเคราะห์ให้ฟังว่า หนัง Hollywood ถือเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งที่ฝั่งอเมริกาส่งเข้ามายังโลกตะวันออก ซึ่งหนังเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงความสนุกเท่านั้น แต่เจือไปด้วยแนวคิด อุดมการณ์บางอย่าง ที่ทางฝั่งสหรัฐฯ ต้องการให้เราคิดและเชื่อาม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแนวคิด American Hero ที่เน้น “ความยิ่งใหญ่” ของสหรัฐฯ ยิ่งใหญ่เสียว่ามี “ความชอบธรรม” ในการเข้าไป “ยุ่มย่าม” ในประเทศอื่น โดยเฉพาะหนังในยุคสงครามเย็น ที่นอกจากสร้างภาพพระเอกสหรัฐฯ แล้ว ยังให้ภาพของผู้ร้ายแก่ “สหภาพโซเวียต” ในขณะนั้นเป็นหลักด้วย
“Olympus Has Fallen” ก็ยังเป็นหนังที่เดินตามหลักการนั้น เน้นเชิดชูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา เพียงแต่ในยุคปัจจุบัน สถานการณ์โลกอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไป สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นขั้วอำนาจเดี่ยวเหมือนในช่วงทศวรรษที่ 1990 แล้ว สหภาพโซเวียตก็ได้ล่มสลายไปแล้ว รัสเซียก็ไม่สามารถเรียกว่าศัตรูได้เต็มปาก หรือถ้าจะให้เป็นจีน นั่นก็เจ้าหนี้ใหญ่ของสหรัฐฯ แถม Hollywood เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งพิงรายได้จากตลาดจีนค่อนข้างเยอะ อย่ากระนั้นเลย คิดไรไม่ออกตอนนี้บอก “เกาหลีเหนือ” แล้วกัน
สังเกตว่าช่วงนี้หนัง Hollywood ส่วนใหญ่ หากจะมีศัตรูเพื่อเน้นภาพความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ สักประเทศ มักเน้นไปที่ “เกาหลีเหนือ” เป็นหลัก ในขณะที่ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางแม้จะถูกนำมาใช้เป็นศัตรูเยอะเหมือนกัน แต่เพราะเอาเข้าจริงสหรัฐฯ ก็ไปก่อเรื่องไม่ดีไว้ในตะวันออกไว้เสียเยอะ หนังที่มีตะวันออกกลางเป็นศัตรู หลายเรื่องจึงเป็นแนววิพากษ์ประเทศตัวเองไปด้วยในตัว จะชมตัวเองก็ทำได้ไม่เต็มที่นัก เกาหลีเหนือจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อีกทั้งตอนนี้ยังประจวบเหมาะที่เกาหลีเหนือมีเกเรจะบุกเกาหลีใต้ แถมยังมีโชว์คลิปจะทำลายทำเนียบขาวด้วยเสียอีก
นอกจากจะเปลี่ยนศัตรูหลักจาก “สหภาพโซเวียต” มาเป็น “เกาหลีเหนือ” สิ่งหนึ่งที่ Olympus Has Fallen ทำต่างจากหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ สมัยก่อนคือ แทนที่จะไปประกาศความยิ่งใหญ่ในพื้นที่อื่น หนังเลือกที่จะให้ศัตรูบุกมาถึงที่ ในแง่หนึ่งตัวหนังยอมรับว่าในโลกปัจจุบัน สหรัฐฯ ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ขณะที่ในทางการเมือง ก็มีทั้งจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป ขึ้นมาแชร์อำนาจในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งปัญหากับประเทศกลุ่มมุสลิม ที่แก้ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนอย่างใจคิดเช่นแต่ก่อน การวางเรื่องให้ทำเนียบขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความยิ่งใหญ่ทางด้านการเมืองโดนยึด รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ในเรื่องไม่ว่าจะเป็น ธงชาติถูกทำลาย หรืออนุสาวรีย์วอชิงตันหัก เหล่านี้สะท้อนภาพสิ่งที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่
แต่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรืออำนาจจะลดน้อยลงเพียงไร สิ่งที่ Olympus Has Fallen ต้องการสื่อถึงเราก็คือ “สหรัฐฯ ยังคงยิ่งใหญ่เสมอ” เราอาจมีล้ม มีสะดุด มีศัตรูบุกมายึดบ้านบ้าง แต่สุดท้ายเราก็จะเอาชนะได้ และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
เหมือนจะนอกเรื่องมาไกล โดยสรุป Olympus Has Fallen ก็เช่นเดียวกับหนัง Action แนว American Hero เรื่องอื่นๆ ดำเนินเรื่องตามสูตร แต่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ส่วนตัวถือว่าดูสนุกอยู่ จุดอ่อนหลักน่าจะเป็นช่วงต้นเรื่องที่ทำเนียบขาวดูจะถูกยึดง่ายไปหน่อย และหนังเน้นไปที่แนว Action อย่างเดียว ละวางประเด็นอื่นๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของตัวละครที่มีให้เล่นมากกว่านี้แต่ไม่เล่น ก็เลยเป็นหนังที่ดูจบแล้วก็จบเลย ไม่มีอะไรให้จดจำมากนัก
ความชอบส่วนตัว: 7/10
พรีวิวหนังเล่นๆ
Olympus Has Fallen (2013) ฝ่าวิกฤติ วินาศกรรมทำเนียบขาว
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ไมค์ แบนนิ่ง (Gerard Butler) อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มาทำเนียบขาวนะครับ แต่ทีนี้เนี่ยในวันนั้นดันมีผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ คัง (Rick Yune) พร้อมกับกองกำลังติดอาวุธได้บุกยึดทำเนียบขาวพร้อมกับจับประธานาธิบดีที่ชื่อ เบนจามิน แอชเชอร์ (Aaron Eckhart)พร้อมกับคนอื่นๆเป็นตัวประกันทำให้ แบนนิ่งต้องบุกเข้าไปช่วยประธานาธิบดีพร้อมกับคนอื่นๆในทำเนียบขาวให้รอดตายครับ
ถามว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วเป็นยังไงตอบเลยครับว่า หนังมันส์ดีครับกระสุนกับระเบิดตู้มต้ามปลิวว่อนเลยครับให้อารมณ์หนักแน่นเครียดเลยทีเดียวและด้วยความที่หนังเรื่องนี้ออกมาไล่ๆกันกับ White House Down คนก็เลยที่จะอดเปรียบเทียบกันไม่ได้เพราะเนื้อหาสองเรื่องนี้เนี่ยมันเหมือนกันครับแต่ความต่างกันคือ เรื่องนี้เนี่ยอารมณ์มันจะซีเรียสกว่าจริงจังกว่าในขณะที่ White House Down จะ Soft กว่าครับ บทพูดดูตลกและมีสีสันต์มากกว่าเรื่องนี้ครับ แต่ถ้าถามว่าเรื่องไหนดีกว่ากันก็ต้องบอกว่า พอๆกันครับไม่ได้หนีกันสักเท่าไหร่ซึ่ง Olympus Has Fallen ถ้าพูดถึงเนี่ยมันก็ตามสูตรหนังแนวยึดทุกอย่างเลยครับ เช่น พระเอกมีความหลังที่ยังฝังใจนะ และถ้ามีการยึดสถานที่คนอื่นเข้าไปช่วยไม่ได้พระเอกเข้าไปช่วยได้คนเดียวนะ แบบนี้อ่ะครับ แล้วในระหว่างเรื่องดำเนินไปก็จะมีเหตุให้พระเอกต้องไปช่วยคนในครอบครัวตัวเองเพราะในเวลาต่อมาตัวร้ายรู้ว่าพระเอกแป็นใครอย่างนี้อ่ะครับซึ่งมันก็คล้ายๆกับ Die Hard ภาคแรกล่ะครับคือถ้าคุณเคยดูเรื่องนั้นมาแล้วเรื่องนี้มุกหลายๆอย่างในเรื่องก็คล้ายๆกันครับแต่เรื่องนั้นความสนุกความเร้าใจได้ลุ้นมากกว่าเรื่องนี้ครับแต่มันก็มีความแตกต่างกันอยู่ในบางจุดอยู่นะครับอย่างเช่น Die Hard ภาคแรกเนี่ยการยึดมันทำแบบเงียบๆไม่ให้ใครรู้ครับในขณะที่เรื่องนี้การยึดทำแบบครึกโครมกันเลยทีเดียวซึ่งการยึดทำเนียบขาวในเรื่องนี้มันก็ทำกันได้ง่ายมากครับแต่มันก็เป็นหนังอ่ะครับเพราะถ้ามันยึดได้ยากพระเอกคงไม่ได้ออกโรงโชว์ฝีมือกันซะทีนะสิ ซึ่งเรื่องนี้มีฉากได้ลุ้นไหมคำตอบคือไม่ค่อยได้ลุ้นสักเท่าไหร่ครับเพราะพระเอกก็เก่งเกินซึ่งพระเอกในเรื่องนี้เนี่ยค่อนข้างที่จะขึงขังเครียดจริงอะไรจริงครับไม่เหมือนใน White House Down ที่พระเอกยังมีอารมณ์ขันอยู่บ้างอ่ะครับซึ่ง Gerard Butler เองก็แสดงเข้ากับบทบาทที่เข้มๆเครียดๆอยู่แล้วล่ะครับ ด้านการดำเนินเรื่องเองก็ต้องบอกว่า ไม่ช้าครับตามมาตรฐานหนังยึดทุกอย่างคือหนังยึดทั่วไปตามสถิติจะเริ่มยึดเมื่อหนังเริ่มมาได้สัก 20-30 นาทีซึ่งเรื่องนี้ก็ยึดในช่วงเวลานั้นแหละครับซึ่งการปูเรื่องมันก็กลางๆครับไม่ถึงกับจับใจอะไรแต่พอผู้ร้ายบุกยึดทำเนียบขาวหนังก็เริ่มเครียดแล้วครับแล้วก็เครียดแบบนี้จริงจังแบบนี้ไปยันจบเรื่องเลยทีเดียวด้านดนตรีเองก็เข้าท่าครับให้อารมณ์ซีเรียสจริงจังดีชวนเครียดเลยทีเดียวซึ่งตลอดทั้งเรื่องนี้ไม่มีช่วงไหนของหนังที่เอื่อยเลยครับมีบู๊แอ็กชั่นเข้ามาตลอดเลยครับ
สำหรับใครที่ชอบภาพยนตร์แนวบู๊แอ็กชั่นสาดกระสุนกระจายที่บรรยากาศดูซีเรียสเครียดจังเข้มข้นจริงจังๆล่ะก็เรื่องนี้ก็ควรแก่การรับชมครับ