อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
Robert De Niro: ตำนานนักแสดงผู้เป็นดั่งจิตวิญญาณแห่งฮอลลีวูด
หากจะเอ่ยถึงนักแสดงที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ ชื่อของ รอเบิร์ต เดอ นิโร (Robert De Niro) จะต้องปรากฏขึ้นเป็นอันดับแรกๆ เสมอ ด้วยพรสวรรค์ทางการแสดงที่ล้ำลึกและความสามารถในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เขากลายเป็นไอคอนที่นักแสดงรุ่นหลังต่างยึดถือเป็นแบบอย่าง วันนี้ Movie24HD จะพาทุกท่านไปเจาะลึกทุกแง่มุมชีวิตของสุดยอดนักแสดงคนนี้กันค่ะ
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายการแสดง
รอเบิร์ต แอนโธนี เดอ นิโร จูเนียร์ (Robert Anthony De Niro Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ในย่านกรีนวิชวิลเลจ นครนิวยอร์ก ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความขี้อายทำให้เขาค้นพบว่าการแสดงคือพื้นที่ปลอดภัยที่เขาสามารถเป็นใครก็ได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในศาสตร์แห่งการแสดง เขาตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยมเมื่ออายุ 16 ปี เพื่อไล่ตามความฝันอย่างเต็มตัว โดยเข้าศึกษาการแสดงที่ Stella Adler Studio of Acting และ Actors Studio ของลี สตราสเบิร์ก ซึ่งเป็นสถาบันที่บ่มเพาะนักแสดงชั้นครูมาแล้วมากมาย
ก้าวสำคัญและการร่วมงานกับ Martin Scorsese
เดอ นิโร เริ่มสร้างชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง “Bang the Drum Slowly” (1973) และในปีเดียวกันนั้นเอง โลกก็ได้จารึกการร่วมงานครั้งประวัติศาสตร์ของเขากับผู้กำกับคู่บุญอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ในภาพยนตร์เรื่อง “Mean Streets” (1973) ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่ของวงการหนังแก๊งสเตอร์
แต่ผลงานที่ทำให้ชื่อของ รอเบิร์ต เดอ นิโร โด่งดังเป็นพลุแตกและคว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกมาครองในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ก็คือบทบาท “วีโต คอร์เลโอเน วัยหนุ่ม” ในภาพยนตร์มาเฟียระดับมหากาพย์ “The Godfather Part II” (1974) การแสดงของเขาที่ต้องพูดภาษาซิซิลีเกือบทั้งเรื่อง ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามและพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงความทุ่มเทอันไร้ขีดจำกัดของเขา
บทบาทที่น่าจดจำและรางวัลแห่งความสำเร็จ
ความสำเร็จของเดอ นิโรยังคงพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง เขาได้สร้างสรรค์ตัวละครที่น่าจดจำไว้มากมาย โดยเฉพาะเมื่อร่วมงานกับสกอร์เซซี ไม่ว่าจะเป็น:
Travis Bickle จาก “Taxi Driver” (1976) : บทบาทคนขับแท็กซี่ผู้โดดเดี่ยวและป่วยไข้ทางจิตใจ ที่มาพร้อมกับประโยคคลาสสิก “You talkin’ to me?”
Jake LaMotta จาก “Raging Bull” (1980) : ผลงานมาสเตอร์พีซที่เขาลงทุนเพิ่มน้ำหนักตัวเองกว่า 27 กิโลกรัม เพื่อรับบทนักมวยในวัยโรยรา และบทบาทนี้เองที่ส่งให้เขาคว้า รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ตัวที่สองมาครองได้สำเร็จ
Jimmy Conway จาก “Goodfellas” (1990) : อีกหนึ่งบทบาทมาเฟียสุดคลาสสิกที่ตราตรึงใจผู้ชม
Max Cady จาก “Cape Fear” (1991) : บทอาชญากรโรคจิตที่น่าเกรงขามและยากจะลืมเลือน
นอกจากนี้ เขายังมีผลงานคุณภาพอีกมากมายในหลากหลายแนว ทั้ง “The Deer Hunter” (1978) , “Once Upon a Time in America” (1984) , “Heat” (1995) ที่เป็นการประชันบทบาทครั้งสำคัญกับ อัล ปาชิโน และหนังคอมเมดี้อย่าง “Meet the Parents” (2000) ที่พิสูจน์ว่าเขาสามารถแสดงบทตลกได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้บทดราม่า
มุมมองจากนักวิจารณ์
IMDb: รอเบิร์ต เดอ นิโร คือนักแสดงที่มีผลงานได้รับคะแนนสูงอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์ของเขาหลายเรื่องถูกจัดให้อยู่ในลิสต์ “หนังดีที่ต้องดู” ตลอดกาล
Rotten Tomatoes: นักวิจารณ์ต่างยกย่องในความสามารถทางการแสดงของเขา โดยเฉพาะการแสดงแบบ “Method Acting” ที่เขาศึกษาตัวละครอย่างลึกซึ้งและทุ่มเทเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อบทบาทนั้นๆ อย่างแท้จริง
ชีวิตนอกจอและบทบาทผู้ร่วมก่อตั้ง Tribeca Film Festival
นอกเหนือจากงานแสดง เดอ นิโร ยังเป็นนักธุรกิจและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ เขาร่วมกับ เจน โรเซนธาล ก่อตั้ง เทศกาลภาพยนตร์ไทรเบคา (Tribeca Film Festival) ในปี 2002 เพื่อฟื้นฟูย่านไทรเบคาในแมนแฮตตันตอนล่างหลังเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นเทศกาลหนังที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ภาพยนตร์เรื่องไหนคือผลงานที่ดีที่สุดของ รอเบิร์ต เดอ นิโร?
A: เป็นคำถามที่ตอบยากมากค่ะ! แต่ถ้าให้เลือกผลงานที่ส่งให้เขาถึงจุดสูงสุดและเป็นที่จดจำมากที่สุดก็คงจะเป็น “The Godfather Part II”, “Taxi Driver” และ “Raging Bull” ซึ่งล้วนเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ไม่ควรพลาดชมเด็ดขาด
Q: รอเบิร์ต เดอ นิโร เคยกำกับภาพยนตร์หรือไม่?
A: ใช่ค่ะ เขาเคยมีผลงานกำกับภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ “A Bronx Tale” (1993) และ “The Good Shepherd” (2006) ซึ่งได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกเช่นกัน
Q: สามารถชมผลงานล่าสุดของเขาได้จากเรื่องอะไร?
A: หนึ่งในผลงานล่าสุดที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากคือ “Killers of the Flower Moon” (2023) ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานกับมาร์ติน สกอร์เซซี อีกครั้ง และยังคงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายเหมือนเช่นเคยค่ะ คุณสามารถติดตามรีวิวและข่าวสารภาพยนตร์ใหม่ๆ ของเขาได้ที่เว็บ Movie24HD ของเราเลยค่ะ
ภาพยนตร์ที่แนะนำหากคุณชื่นชอบ รอเบิร์ต เดอ นิโร
Casino (1995): อีกหนึ่งผลงานสุดเข้มข้นกับสกอร์เซซี
The Irishman (2019): การรวมตัวของตำนานมาเฟีย เดอ นิโร, อัล ปาชิโน และ โจ เพสซี
Joker (2019): แม้จะเป็นบทบาทสมทบ แต่การแสดงของเขาก็ทรงพลังและน่าจดจำ
รอเบิร์ต เดอ นิโร ไม่ใช่แค่เพียงนักแสดง แต่เขาคือศิลปินผู้ที่อุทิศทั้งชีวิตและจิตวิญญาณให้กับศิลปะการแสดง เรื่องราวของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นตำนานที่เล่าขานต่อไปในโลกของภาพยนตร์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เดอ นิโร เรียนด้านการแสดงจากโรงเรียนสอนการแสดงของลี สตราสเบิร์ก และได้แสดงในภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี เป็นครั้งแรกในเรื่อง มาเฟียดงระห่ำ (1973) เขาได้รับรางวัลออสการ์ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงบท “วีโต คอร์เลโอเน” ใน เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 (1974) ที่กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก่อนที่จะได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากการแสดงบท “เจค ลาม็อตตา” นักมวยแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวท ในภาพยนตร์เรื่อง นักชกอหังการ์ (1980) ที่กำกับโดยสกอร์เซซี และเขายังเคยได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานการแสดงในเรื่องอื่นๆ เช่น แท็กซี่มหากาฬ (1976), เดอะ เดียร์ ฮันเตอร์ (1978), ตื่นเถิดเพื่อนถ้าใจยังมีฝัน (1990), กล้าไว้อย่าให้หัวใจหลุด (1991), ลุกขึ้นใหม่ หัวใจมีเธอ (2012) และ คนใหญ่ไอริช (2020)
ผลงานภาพยนตร์
มือปืนแฟรงค์ เชียรัน นึกย้อนไปถึงความลับต่างๆ ที่รักษาไว้เมื่อครั้งเป็นสมาชิกผู้ภักดีของแก๊งบัฟฟาลิโนในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามของมาร์ติน สกอร์เซซี่ โรเบิร์ต เดอ นีโร โดดเด่นในการแสดงบทตัวละครที่ปิดตัวเองและเข้าถึงไม่ได้ ซึ่งเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งซึ่งอาจดูน่าเบื่อเล็กน้อยหากคุณพบพวกเขาครั้งแรก แต่มีชีวิตภายในที่พวกเขาไม่ค่อยให้ใครเห็นและเป็นปริศนาสำหรับตัวเอง เดอ นีโรอายุ 75 ปี
Cape Fear (1991)
นักข่มขืนที่เคยถูกตัดสินจำคุก ได้รับการปล่อยตัวจากคุกหลังรับโทษจำคุก 14 ปี กำลังติดตามครอบครัวของทนายความที่ปกป้องเขาในตอนแรก แม็กซ์ แคดี้ ถูกจำคุกฐานทำร้ายเด็กสาวอย่างโหดร้าย เขาใช้เวลาในคุกอย่างชาญฉลาด โดยอ่านหนังสือ ปั้นหุ่นให้สมบูรณ์แบบ และวางแผนแก้แค้นทนายฝ่ายจำเลยที่ส่งเขาเข้าคุก หลังจากรับโทษจำคุก 14 ปี แคดี้ก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก และความอาละวาดของเขาก็เริ่มต้นขึ้น