ประวัติ Robert Duvall โรเบิร์ต ดูวัล

Robert Duvall โรเบิร์ต เชลดอน ดูวัล : ตำนานนักแสดงผู้เงียบขรึม ทรงพลังในทุกบทบาทแห่งฮอลลีวูด ในโลกของฮอลลีวูดที่เต็มไปด้วยดาวรุ่งเกิดขึ้นและดับไป มีนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนหยัดสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพได้อย่างยาวนาน และชื่อของ คือหนึ่งในนั้น เขาคือ “นักแสดงของนักแสดง” (an actor’s actor) ผู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการท้าทายตัวเองด้วยบทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่ทนายผู้สุขุม, นายทหารผู้บ้าคลั่ง, คาวบอยพเนจร ไปจนถึงนักเทศน์ผู้เปี่ยมศรัทธา วันนี้ Movie24HD จะพาทุกท่านไปรู้จักกับตำนานที่ยังมีลมหายใจคนนี้กันค่ะ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังจุดเริ่มต้น: จากรั้วทหารสู่โลกแห่งการแสดง
เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1931 ที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย เขาเติบโตในครอบครัวทหารและได้เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ เป็นเวลา 2 ปีหลังสำเร็จการศึกษา แต่ดูเหมือนว่าพรหมลิขิตได้ขีดเส้นทางสายศิลปะไว้ให้เขา หลังปลดประจำการ เขาได้ใช้สิทธิ์จากกฎหมาย G.I. Bill เข้าศึกษาต่อที่ The Neighborhood Playhouse School of the Theatre ในนิวยอร์ก ที่นี่เองที่เขาได้พบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่จะกลายเป็นนักแสดงระดับตำนานในเวลาต่อมา เช่น ดัสติน ฮอฟฟ์แมน, จีน แฮ็กแมน และ เจมส์ คาน
บทบาทแรกในโลกภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้คนจดจำเขาได้คือบท “บู แรดลีย์” (Boo Radley) ชายลึกลับผู้เก็บตัวในภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง “To Kill a Mockingbird” (1962) แม้จะปรากฏตัวบนจอเพียงไม่กี่นาทีและไม่มีบทพูดเลย แต่การแสดงออกทางสายตาและท่าทางของเขาก็ทรงพลังพอที่จะทำให้ตัวละครนี้เป็นที่น่าจดจำไปตลอดกาล
บทบาทที่สร้างชื่อและรางวัลออสการ์แห่งเกียรติยศ
ตลอดเส้นทางอาชีพที่ยาวนาน ได้สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซไว้มากมาย บทบาทที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับในวงกว้างคือ “ทอม เฮเกน” (Tom Hagen) ที่ปรึกษาผู้สุขุมเยือกเย็นของตระกูลคอร์เลโอเน ในภาพยนตร์มาเฟียขึ้นหิ้ง “The Godfather” (1972) และ “The Godfather Part II” (1974) ซึ่งส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก
หลังจากนั้น เขาก็ได้สร้างสรรค์ตัวละครที่น่าจดจำอีกมากมาย:
- Lt. Colonel Bill Kilgore จาก “Apocalypse Now” (1979): นายทหารสุดระห่ำผู้รักกลิ่นนาปาล์มในตอนเช้า กับประโยคอมตะ “I love the smell of napalm in the morning.” ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้ง
- Mac Sledge จาก “Tender Mercies” (1983): บทบาทนักร้องคันทรีตกอับผู้พยายามไถ่บาปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ในที่สุดก็ส่งให้เขาคว้า รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม มาครองได้สำเร็จ
- Augustus “Gus” McCrae จากมินิซีรีส์ “Lonesome Dove” (1989): บทบาทอดีตเท็กซัสเรนเจอร์ที่กลายเป็นที่รักของผู้ชมทั่วอเมริกา
- Euliss “Sonny” Dewey จาก “The Apostle” (1997): ผลงานที่เขาไม่เพียงแสดงนำ แต่ยัง เขียนบทและกำกับเอง โดยรับบทเป็นนักเทศน์ที่หนีคดีและไปสร้างโบสถ์แห่งใหม่ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้งในฐานะนักแสดงนำชาย
สไตล์การแสดงที่เข้าถึงแก่นแท้ของตัวละคร
สิ่งที่ทำให้ แตกต่าง คือความสามารถในการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติและสมจริง เขามักจะศึกษาและเข้าถึงแก่นแท้ของตัวละครอย่างลึกซึ้ง ทำให้ไม่ว่าเขาจะรับบทใด ผู้ชมก็พร้อมจะเชื่อในตัวละครนั้นได้อย่างสนิทใจ
- IMDb: ผลงานของดูวัลมักได้รับคะแนนสูงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะภาพยนตร์ในยุค 70s-90s ที่ถูกยกให้เป็นผลงานคลาสสิกหลายเรื่อง
- Rotten Tomatoes: นักวิจารณ์ต่างยกย่องในความคงเส้นคงวาทางการแสดงของเขา และความกล้าที่จะรับบทบาทที่หลากหลาย ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: เคยแสดงร่วมกับนักแสดงระดับตำนานคนไหนบ้าง?
A: เขาได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นครูมากมายตลอดอาชีพการแสดง ไม่ว่าจะเป็น มาร์ลอน แบรนโด, อัล ปาชิโน, , เดนเซล วอชิงตัน และทอม ครูซ เป็นต้น
Q: ภาพยนตร์เรื่องไหนที่ทำให้ ได้รับรางวัลออสการ์?
A: เขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง “Tender Mercies” (1983) ค่ะ
Q: ปัจจุบัน ยังมีผลงานการแสดงอยู่หรือไม่?
A: แม้จะอายุเข้าสู่วัย 90 ปีแล้ว แต่เขายังคงรับงานแสดงอยู่เป็นระยะๆ ค่ะ ผลงานล่าสุดที่น่าสนใจคือการร่วมแสดงกับ อดัม แซนด์เลอร์ ในภาพยนตร์ของ Netflix เรื่อง “Hustle” (2022) ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าไฟในการแสดงของเขายังไม่เคยมอดดับ
ภาพยนตร์ที่แนะนำหากคุณชื่นชอบ โรเบิร์ต ดูวัล
- The Judge (2014): การประชันบทบาทสุดเข้มข้นกับ ในบทพ่อกับลูกชายที่เป็นทนายและผู้พิพากษา
- Open Range (2003): ภาพยนตร์คาวบอยคุณภาพที่เขาร่วมแสดงกับ เควิน คอสต์เนอร์
- Falling Down (1993): รับบทนายตำรวจผู้ใกล้เกษียณที่ต้องรับมือกับชายผู้คลุ้มคลั่ง
คือสมบัติล้ำค่าของวงการภาพยนตร์ เขาคือบทพิสูจน์ของคำว่า “ศิลปิน” อย่างแท้จริง ผู้ที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ตัวละครที่น่าจดจำและส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงรุ่นแล้วรุ่นเล่า และเรื่องราวของเขาก็จะยังคงถูกกล่าวขานในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
ผลงานภาพยนตร์
A Civil Action (1998) คนจริงฝ่าอำนาจมืด
สารพิษในสิ่งแวดล้อมในเมืองวอบเบิร์นรัฐแมสซาชูเซตส์ ปนเปื้อนแหล่งน้ำในพื้นที่และเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กในท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง ทนายความที่หยิ่งผยองในเมืองบอสตันชื่อแจน ชลิชท์มันน์และสำนักงานทนายความเล็กๆ ของเขาที่เชี่ยวชาญด้านการบาดเจ็บส่วนบุคคลถูกขอร้องโดยแอนน์ แอนเดอร์สัน ชาวเมืองวอบเบิร์นให้ดำเนินคดีกับผู้ที่รับผิดชอบ หลังจากปฏิเสธคดีที่ดูเหมือนจะไม่ทำกำไรในตอนแรก แจนก็พบปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนของน้ำใต้ดินซึ่งมีศักยภาพทางกฎหมายสูง และตระหนักว่าโรงฟอกหนัง ในท้องถิ่น อาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายราย แจนตัดสินใจเดินหน้าฟ้องบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่งที่เป็นเจ้าของโรงฟอกหนัง ได้แก่Beatrice FoodsและWR Grace and Companyโดยคิดว่าคดีนี้อาจทำให้เขาได้รับเงินหลายล้านดอลลาร์และช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทของเขา

Geronimo: An American Legend (1993) เจอโรนิโม่ ตำนานยอดคน
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การยอมจำนนของเจอโรนิโมในปี 1886 เจอโรนิโมเป็นหมอรักษาคนดีและชาวอาปาเช่ด้วยกันยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจที่จะตั้งถิ่นฐานในเขตสงวนที่รัฐบาลอเมริกันกำหนดขึ้นตามพระราชบัญญัติการอพยพชาวอินเดียนแดงชนเผ่านี้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรม แต่ชาวอาปาเช่จำนวนมากต้องดิ้นรนที่จะละทิ้งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของตน ในขณะที่รัฐบาลไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ให้ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอเมริกันบุกรุกดินแดนของชนเผ่า ในที่สุดเจอโรนิโมก็ยอมจำนนต่อกองกำลังติดอาวุธเมื่อทหารม้าสหรัฐพร้อมด้วยนักรบอินเดียอัล ซีเบอร์สังหารกลุ่มอาปาเช่หลังจากพบว่าพวกเขานับถือศาสนา ” นอกรีต ” อย่างลับๆ เจอโรนิโมจัดตั้งกองกำลังกึ่งทหารที่สร้างความอับอายให้กองทัพด้วยการหลบหนีการจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะเดียวกันก็ทำการโจมตีแบบกองโจรที่วางแผนมาอย่างดี เนื้อเรื่องมุ่งเน้นไปที่ร้อยโทชาร์ลส์ บี. เกตวูดผู้สำเร็จ การศึกษา จากเวสต์พอยต์ซึ่งได้รับมอบหมายให้จับกุมเจอโรนิโมด้วยความช่วยเหลือของซีเบอร์และบริตตัน เดวิสทหารม้าผู้ทะเยอทะยานแต่ไม่มีประสบการณ์

Deep Impact (1998) วันสิ้นโลก ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน โลกจะถึงคราดับสิ้นและ มนุษย์จะถูกล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการพุ่งชนของอุกกาบาตขนาดยักษ์? นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก “ด้วยประสบการณ์ทาง สายตากับภาพตื่นระทึกและ สะเทือนอารมณ์ผู้ชม ได้อย่างอยู่หมัด” ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 ในงานเลี้ยงสังสรรค์ชมดาวที่เวอร์จิเนียนักดาราศาสตร์สมัครเล่นวัยรุ่นลีโอ บีเดอร์แมน สังเกตเห็นวัตถุท้องฟ้าที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ เขาส่งภาพไปให้ดร. มาร์คัส วูล์ฟ นักดาราศาสตร์ผู้ตระหนักว่าวัตถุนั้นคือดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลก วูล์ฟเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะรีบเร่งส่งสัญญาณเตือน หนึ่งปีต่อมา เจนนี่ เลอร์เนอร์ นักข่าว ของ MSNBCสอบสวนรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอลัน ริตเทนเฮาส์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับ “เอลลี” ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นเมียน้อย เธอรู้สึกสับสนเมื่อพบว่าเขาและครอบครัวกำลังขนอาหารจำนวนมากและอุปกรณ์เอาตัวรอดอื่นๆ ขึ้นเรือ เธอถูกเอฟบีไอ จับกุม และพาตัวไปพบประธานาธิบดีทอม เบ็ค ซึ่งโน้มน้าวให้เธอไม่เล่าเรื่องนี้เพื่อแลกกับบทบาทสำคัญในงานแถลงข่าวที่เขาจะจัดขึ้น ในเวลาต่อมา เธอค้นพบว่า “เอลลี” จริงๆ แล้วคือคำย่อ ELE ซึ่งย่อมาจาก ” extinction-level event ” สองวันต่อมา เบ็คประกาศว่าดาวหางวูล์ฟ-บีเดอร์แมนกำลังมุ่งหน้าสู่โลกในอีกประมาณหนึ่งปี และอาจทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ เขาเปิดเผยว่าสหรัฐอเมริกาและรัสเซียกำลังสร้างเมสสิอาห์ในวงโคจร ซึ่งเป็นยานอวกาศที่จะขนส่งทีมเพื่อเปลี่ยนเส้นทางของดาวหางด้วยระเบิดนิวเคลียร์

