ดูหนัง Scream 4 (2011) หวีด แหกกฏ ซิดนีย์ เพรสค็อต (เนฟ แคมเปล) ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นนักเขียน เดินทางกลับมายังวูดโบโร บ้านเกิดของเธอเพื่อโปรโมทหนังสือ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางโปรโมทหนังสือของเธอด้วย เธอได้พบกับอดีตนายอำเภอ ดิวอี้ (เดวิด อาร์เคว็ต) และนักข่าวชื่อ เกล (คอร์ตนีย์ ค็อกซ์) รวมทั้งลูกพี่ลูกน้องของเธอชื่อ จิล โรเบิร์ต (เอมมา โรเบิร์ตส์) กับ เคอร์ รีด (เฮย์เดน พาเน็ทเทียร์) เพื่อนรักของเธอ และ เคท โรเบิร์ต (แมรี แม็คโดนัล) ป้าของเธอ แต่การกลับมาของเธอครั้งนี้ยังมาพร้อมกับการกลับมาของนักฆ่าหน้ากากผีที่เริ่มออกไล่ล่าตามฆ่าเพื่อน ๆ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ และคนอื่นๆในย่านวูดโบโร ด้วย เมืองทั้งเมืองกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งซิดนีย์ กับเพื่อนๆและชาวเมืองจะมีวิธีการอย่างไรในการรับมือกับ ฆาตกรหน้ากากผีในครั้งนี้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Neve Campbell
Courteney Cox
David Arquette
Lucy Hale
ผู้กำกับ
Wes Craven
รีวิวหนัง Scream 4 (2011) ดูหนังออนไลน์
เล่าเรื่องราวต่อจากภาค 3 ที่ผ่านมา 10 ปี ซิดนี่ย์ เพรสคอตต์ ก็ได้กลับมายังเมืองวู๊ดส์โบโรอีกครั้งเพื่อทำการโปรโมทหนังสือที่เธอเขียน แต่กลับมาไม่ทันไรก็เกิดเหตุฆาตกรรมวัยรุ่นในเมืองขึ้นอีกครั้ง โดยมีเธอที่จะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป จนทำให้นายตำรวจ ดิวอี้ และนักข่าว เกล เวอธอร์ส ต้องร่วมมือกันตามหาฆาตกรสวมหน้ากากโกสต์เฟสกันอีกครั้ง ก่อนที่จะมีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีกในเมือง
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Scream 4 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นแฟนหนัง Scream มาตั้งแต่เริ่ม หรือหากนับจริงๆ ก็คือตั้งแต่ภาคหนึ่งที่ปี 1996 ที่หากใครชอบหนังแนว Slasher หรือไล่เชือดมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือต้องการหาความแปลกใหม่จากหนังแนวนี้ นี่จะเป็นหนังชุดที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมากมาโดยตลอด แม้ว่าเรื่องราวมันจะชุลมุนวุ่นวาย และดูเหนือเหตุและผลไปบ้าง แต่หากมองในแง่ความบันเทิง เอาสะใจ ให้ชวนคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ แล้วนั้น ก็เรียกได้ว่าหนังตอบโจทย์ให้กับเราได้เป็นอย่างดี ทำให้ใครที่ชอบหนัง Scream ภาคเดิมๆ มาอยู่แล้ว หรือหนังแนว Slasher ฆาตกรหน้ากาก อย่าง I know what you did last summer หรือ Halloween อะไรพวกนี้แล้ว รับรองเลยว่าเหมาะมากๆ
สายหนังสยองขวัญไล่เชือด
สายหนังฆาตกรโรคจิต
สายหนังไล่ฆ่าตลกร้าย
รีวิว / สรุปเนื้อหา
Scream นั้นนับเป็นอีกหนึ่งตำนานหนังแนว Slasher ของยุค 90s ท่ามกลางหนังไล่เชือดที่ทำกันออกมาเป็นสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ที่เหล่าวัยรุ่นมักเป็นเหยื่อ ของฆาตกรสุดโหดใส่หน้ากาก แต่ Scream กลับสร้างความโดดเด่นของตัวเอง โดยการทำตัวเป็นหนังสายรู้ทัน ที่คิดดูคิดทันมุขทุกอย่างที่มักเกิดในหนังประเภทนี้ อีกทั้งยังใส่การหักมุมฉีกกฏได้อย่างสนุกมาก จนกระทั่งการมาถึงของภาค 4 ที่ทิ้งห่างจากภาคก่อนมาถึง 11 ปีในเวลาจริง และห่าง 10 ปีในเรื่องราว ที่ยังไม่หมดมุขไปซะทีเดียว เพราะงวดนี้มันกลับมาพร้อมกับการรู้ทันหนังจำพวกรีเมคที่ออกมามากมายในช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน
แต่ดูเหมือนผู้กำกับอย่าง Wes Craven ที่คร่ำหวอดมาในวงการหนังสยอง และเป็นผู้ให้กำเนิดหนังชุด Scream มาโดยตลอดนั้น จะเข้าใจระบบการรีเมค รีบู้ตเป็นอย่างดี และหยิบเอาสิ่งที่ควรจะเป็นมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามยึดโยงเรื่องราวให้เข้ากับภาคก่อนๆ ด้วยตัวละครอันเป็นที่รัก อีกทั้งยังใช้พล็อตเรื่องแบบเดิมที่คนชอบ แต่เติมสีสันในยุคใหม่เข้าไปด้วยตัวละครที่ใหม่ขึ้น มุขที่สดขึ้นให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มันเลยทำให้ตัวหนังนั้นมีความสดใหม่ และการคารวะของเดิมไปในเวลาเดียวกันได้อย่างน่าชื่นชม จนทำให้คนที่ดู Scream มาโดยตลอดก็ต้องหลงรักภาคนี้ได้โดยไม่ยาก ในขณะที่แฟนๆ หน้าใหม่อาจจะรู้สึกอิหยังวะ ถ้าไม่ได้ดูภาคเก่าๆ มาก่อน
ด้วยการดำเนินเรื่องที่ฉับไว และการยังคงเล่นกับหนังซ้อนหนังอย่าง Stab ก็นับว่าเป็นอะไรที่สร้างสีสันมากๆ สำหรับคอหนังชุดนี้ แม้ว่าหนังจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าการหักมุมในยุคนี้ ต่อให้หักยังไงก็ไม่มีอะไรใหม่อีกต่อไปแล้ว ทำให้หนังจึงกลับมาเล่นกับเรื่องราวล้อขนบเดิมๆ ของหนังชุดตัวเองกันยังดีกว่า ซึ่งมันก็สร้างความตลกร้าย ชวนฮาให้กับหนังได้เป็นอย่างดี จนไปถึงการพาไปสู่บทสรุปที่อาจจะเดาไม่ยาก แต่สาแก่ใจคอหนังชุดนี้ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะการตราหน้าไปถึงกลุ่มคนทำหนังที่เอาหนังคลาสสิคหรือที่มีคนรักมารีเมคปู้ยี่ปู้ยำให้มันเลวร้ายกว่าเดิมว่า “Don’t fuck with the original.” กันได้แล้ว
หนังโปรดของข้าพเจ้า
ที่เราชอบ Scream ภาคแรกมากไม่ใช่เพราะความโหดของหนัง ซึ่งถ้าจะเอาแค่นั้นก็คงไปหาเอาจากเรื่องอื่นได้เยอะแยะ แต่ Scream ภาคแรกมันโดดเด่นที่การหยิบเอาขนบหนังฆาตกรโรคจิตที่จำเจมาขยี้ทำใหม่จนกลายเป็นงานชิ้นโบว์แดง พูดให้เห็นภาพสักหน่อยก็คือมันหยิบเอามุกเบสิกจากหนังฆาตกรไล่เชือดมาดักคอคนดูแต่เนิ่น ๆ และสร้างเซอไพรส์เหนือชั้นในตอนจบ คุณไม่สามารถเดาได้เลยว่าใครคือตัวร้ายเพราะความน่าจะเป็นพอ ๆ กันหมด แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือแรงจูงใจจึงทำให้เราหวาดระแวงตัวละครทุกตัวในเรื่อง ซึ่งเสน่ห์เหล่านี้มันกลับมาได้อีกครั้งใน Scream 4 ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่ดีเทียบเท่าภาคแรกก็ตาม เพราะอย่างที่ตัวละครในเรื่องบอกเอาไว้ว่า “Don’t fuck with the original.”
.
เนื้อเรื่องบอกเล่าถึง 10 ปีต่อมาจาก Scream 3 ‘ซิดนี่ย์’ (Neve Campbell) เหยื่อผู้รอดชีวิตจากสามภาคได้กลับมายังเมืองวู้ดส์โบโร่อีกครั้ง เธอได้เจอกับ ‘เกล’ (Courteney Cox) อดีตนักข่าว และ ‘ดิววี่’ (David Arquette) ที่กลายมาเป็นนายอำเภอ แต่แล้วฆาตกรโรคจิตหน้าผีก็กลับมาสร้างความสยองอีกครั้ง
.
จะว่าไปความคลาสสิกของภาคแรกคือการได้เห็นดรูว์ แบรี่มอร์ตัวสั่นด้วยความกลัวเพราะถูกฆาตกรโทรป่วนตอนอยู่บ้านคนเดียว เช่นกันกับในภาค 4 ที่ยังคงหยิบเสน่ห์เดิม ๆ ของภาคแรกมาผสมกับทีเด็ดภาค 3 ได้อย่างเหมาะเหม็ง แถมยังจิกกัด Saw ได้เจ็บแสบจริง ๆ (มีแต่ฉากเชือดเลือดสาด, ตัวละครไม่มีพัฒนาการ) เพราะหนังเชือดของจริงต้อง Scream เนี่ยแหละเฟ้ย
.
ส่วนต่อจากนั้นก็คือความสนุกของการนั่งลุ้นว่าใครจะอยู่ใครจะไป และใครจะผ่านเข้าถึงรอบตัดสิน แนะนำว่าถ้าจะดู Scream 4 ยังไงก็ต้องไปดู Scream ภาคแรกมาก่อนไม่งั้นไม่อินกับมุกต่าง ๆ ที่หนังหยิบมาขยี้ซะเละอย่างแน่นอน มันมีทั้งมุกฆาตกรรมเชยระเบิดระเบ้อ มีตัวละครทำอะไรโง่ ๆ ผิดที่ผิดทางแบบในหนังเชือดสมัยโบราณ แต่มุกซ้ำซากเหล่านี้มันดูไม่น่าเบื่อเลยเพราะบทหนังมันวางหมากสู่องก์สุดท้ายได้ดี ถึงแม้ว่าก่อนเข้าสู่องก์สุดท้ายจะเล่นมุกเขย่าขวัญสไตล์เดิม ๆ ก็ตามที
.
ขอเชียร์เลยละกันว่า Scream 4 มีทีเด็ดจริง ๆ เอาแค่นั่งลุ้นว่าฆาตกรเป็นใครและมีแรงจูงใจอะไรก็สนุกแล้ว เป็นการมาของหนังเชือดเคยโด่งดังที่กลับมาทวงคืนบัลลังก์ภาคต่อได้อย่างสมศักดิ์ศรี