จุดเริ่มต้น: ดาวตลกเด็กสู่นักแสดงดาวรุ่ง
ไชอา ซาอีด ลาบัฟ เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1986 ในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เขามีวัยเด็กที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อของเขาเป็นอดีตตัวตลกในคณะละครสัตว์และผ่านสงครามเวียดนาม ส่วนแม่เป็นนักเต้นและนักออกแบบเครื่องประดับ ด้วยปัญหาทางการเงินของครอบครัว ไชอาจึงเริ่มต้นหาเงินด้วยการแสดงตลกแบบสแตนด์อัพคอเมดี้ตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ!
ชื่อเสียงในวงกว้างเริ่มมาถึงเขาเมื่อได้รับบท “หลุยส์ สตีเวนส์” ในซีรีส์คอมเมดี้ของช่องดิสนีย์เรื่อง Even Stevens (2000-2003) ด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์ ทำให้เขาคว้ารางวัล Daytime Emmy Award มาครองได้สำเร็จ และกลายเป็นที่รักของผู้ชมวัยรุ่นในยุคนั้น ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัว
ก้าวสู่บัลลังก์พระเอกฮอลลีวูด: Transformers และยุคทอง
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในอาชีพของไชอา ลาบัฟ เกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อเขาได้รับเลือกจากผู้กำกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ให้แสดงในหนังทริลเลอร์เรื่อง Disturbia และในปีเดียวกันนั้นเอง โลกก็ได้รู้จักเขในบทบาท “แซม วิทวิคกี้” จากภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) เรื่อง Transformers (2007)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จถล่มทลายทั่วโลก ส่งให้ไชอา ลาบัฟ กลายเป็นพระเอกแถวหน้าของฮอลลีวูดในทันที เขาได้กลับมารับบทเดิมในภาคต่ออีก 2 ภาคคือ Revenge of the Fallen (2009) และ Dark of the Moon (2011) นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมงานกับสตีเวน สปีลเบิร์กอีกครั้งในบทบาทลูกชายของอินเดียน่า โจนส์ ใน Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008) ซึ่งตอกย้ำสถานะซูเปอร์สตาร์ของเขาอย่างแท้จริง
หันหลังให้กระแสหลัก: สู่โลกภาพยนตร์อินดี้และการแสดงที่ลึกซึ้ง
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในวงการหนังกระแสหลัก แต่ไชอากลับเลือกที่จะหันหลังให้กับบทบาทพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์ เขาเริ่มมองหาบทบาทที่ท้าทายและมีความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง ลาร์ส ฟอน เทรียร์ (Lars von Trier) ใน Nymphomaniac (2013) และแสดงฝีมืออันดุดันในหนังสงครามเรื่อง Fury (2014) ร่วมกับแบรด พิตต์
แต่ผลงานที่ได้รับการยอมรับและเสียงชื่นชมมากที่สุดในเส้นทางสายอินดี้ของเขาคือ Honey Boy (2019) ภาพยนตร์ที่เขาเขียนบทเองโดยอ้างอิงจากชีวิตจริงในวัยเด็กที่ขมขื่นและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับพ่อของเขา โดยในเรื่องนี้ ไชอารับบทเป็นพ่อของตัวเอง ซึ่งเป็นการแสดงที่ได้รับการยกย่องว่าทรงพลังและเปราะบางอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ การแสดงใน The Peanut Butter Falcon (2019) ก็ทำให้เขาได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างล้นหลาม
ตารางผลงานเด่นและคะแนนจากนักวิจารณ์:
| ปี |
ชื่อภาพยนตร์ |
บทบาท |
คะแนน IMDb |
คะแนน Rotten Tomatoes |
| 2007 |
Disturbia |
เคล เบร็ชท์ |
6.8/10 |
69% |
| 2007 |
Transformers |
แซม วิทวิคกี้ |
7.0/10 |
58% |
| 2008 |
Indiana Jones and the Crystal Skull |
มัตต์ วิลเลียมส์ |
6.2/10 |
77% |
| 2012 |
Lawless |
แจ็ค บอนดูแรนต์ |
7.2/10 |
66% |
| 2014 |
Fury |
บอยด์ “ไบเบิ้ล” สวอน |
7.6/10 |
76% |
| 2019 |
The Peanut Butter Falcon |
ไทเลอร์ |
7.6/10 |
95% |
| 2019 |
Honey Boy |
เจมส์ ลอร์ท |
7.2/10 |
94% |
หมายเหตุ: คะแนนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
รีวิวจาก IMDB: ผู้ใช้จำนวนมากยกย่องการแสดงของไชอาใน “Honey Boy” และ “The Peanut Butter Falcon” ว่าเป็นการกลับมาที่ยอดเยี่ยมและแสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกในฐานะนักแสดงที่แท้จริง
รีวิวจาก Rotten Tomatoes: นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชมการตัดสินใจของเขาที่หันมาเอาดีในเส้นทางหนังอินดี้ โดยมองว่าเขาได้ค้นพบตัวตนและแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ในผลงานช่วงหลัง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ทำไม ไชอา ลาบัฟ ถึงไม่กลับมาเล่น Transformers ภาค 4?
A: เป็นการตัดสินใจร่วมกันของทั้งตัวไชอาและทีมผู้สร้างครับ เนื้อเรื่องของแฟรนไชส์ต้องการไปในทิศทางใหม่พร้อมกับตัวละครมนุษย์ชุดใหม่ และตัวไชอาเองก็ต้องการมองหาบทบาทที่แตกต่างและท้าทายมากขึ้นในเวลานั้น
Q: ภาพยนตร์เรื่อง Honey Boy สร้างจากเรื่องจริงของเขาเลยใช่ไหม?
A: ใช่ครับ Honey Boy เป็นภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติที่ไชอาเขียนบทขึ้นเองในระหว่างที่เขาเข้ารับการบำบัดทางจิตใจ โดยสะท้อนถึงชีวิตวัยเด็กในฐานะนักแสดง, ความสัมพันธ์กับพ่อ (ที่เขารับบทเองในเรื่อง) และผลกระทบที่ส่งมาถึงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของเขา
Q: นอกจากเรื่องการแสดง เขามีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นข่าวดังบ้างไหม?
A: ไชอาเป็นศิลปินที่มีแนวทางเป็นของตัวเองสูงครับ เขามักจะมีผลงานในรูปแบบ Performance Art (ศิลปะการแสดงสด) ที่กลายเป็นไวรัลอยู่บ่อยครั้ง และในบางช่วงชีวิต เขาก็เคยมีปัญหากับกฎหมายบ้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาได้นำมาถ่ายทอดผ่านผลงานภาพยนตร์ในยุคหลังๆ ครับ
หากคุณชื่นชอบผลงานของ ไชอา ลาบัฟ ลองชมภาพยนตร์เหล่านี้
สำหรับแฟนหนังที่ประทับใจในฝีมือการแสดงที่หลากหลายของไชอา ลาบัฟ ตั้งแต่แอ็คชั่นสุดมันส์ไปจนถึงดราม่าเข้มข้น เราขอแนะนำภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายคล้ายกัน:
- Prisoners (2013): ภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดกดดันที่นักแสดงนำอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน และ เจค จิลเลนฮาล ต้องแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนและมืดมน
- Sound of Metal (2019): ดราม่าทรงพลังเกี่ยวกับนักดนตรีที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียการได้ยิน นำแสดงโดย ริซ อาห์เหม็ด ที่ทุ่มเทให้กับการแสดงอย่างน่าทึ่ง
- Good Time (2017): หนังอาชญากรรมสุดระทึกที่ โรเบิร์ต แพตตินสัน พลิกบทบาทการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม
ไชอา ลาบัฟ คือบทพิสูจน์ของศิลปินที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขากล้าที่จะออกจากกรอบความสำเร็จเดิมๆ เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของการเป็นนักแสดง และสำหรับคอหนังที่ต้องการชมผลงานคุณภาพของเขา สามารถเข้ามาค้นหาและรับชมได้ที่ Movie24HD ครับ
คุณสามารถรับชมบทวิเคราะห์และเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ไชอา ลาบัฟ เพิ่มเติมได้จากวิดีโอนี้ ซึ่งจะพาไปเจาะลึกเส้นทางชีวิตและการกลับมาของเขาในวงการภาพยนตร์อีกครั้ง
เรื่องราวของไชอา ลาบัฟ
ค.ศ. 2035 ในยุคที่หุ่นยนต์อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ในฐานะผู้รับใช้ เดล (วิลล์ สมิธ) ตำรวจนักสืบชิคาโก ต้องสืบสวนคดีฆาตกรรมศาสตราจารย์คนหนึ่งที่เขาเชื่อมั่นว่าต้องเป็นฝีมือของ บรรดาหุ่นยนต์ที่กำลังวางแผนครอบงำมนุษย์อย่างแน่นอน
จอห์น คอนสแตนติน เคยผ่านนรกและหวนคืนมา.. เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ตัวเองไม่ต้องการ กับความสามารถที่จะจำแนกเหล่าเทวดา และปีศาจลูกครึ่ง ที่ปลอมตัวมาเป็นมนุษย์เดินดินคอนสแตนติน (คีอานู รีฟส์) ถูกกดดันให้คร่าชีวิตตัวเอง เพื่อหนีให้พ้นจากความทุกข์ทรมาณ ในการมองเห็นอย่างชัดแจ้งของเขา แต่แล้วกลับล้มเหลว ในการฟื้นคืนชีพ ซึ่งตรงข้ามกับความตั้งใจของเขานั้น เขาพบว่าตนเองถูกส่งกลับมายังโลกมนุษย์ ในตอนนี้เขาถูกตีตราว่าเป็นผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบชั่วคราว เขาท่องไปในสุดเขตโลกระหว่างสวรรค์และนรก ด้วยความหวังอันไร้ประโยชน์ ที่จะหาทางหลุดพ้นจากบาป ด้วยการต่อกรกับบรรดาสมุนแห่งปีศาจที่รุกรานโลก
แต่คอนสแตนตินไม่ได้เป็นนักบุญ การได้เห็นความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกรอบตัวเขา และความเหนือกว่าของโลกเบื้องหน้า ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษที่ดื่มหนัก ทนทุกข์และขมขื่น ผู้ซึ่งเย้ยหยันความคิดเรื่องการเป็นวีรบุรุษ คอนสแตนตินจะต่อสู้เพื่อปกป้องวิญญาณให้พวกเรา แต่เขาไม่ต้องการความชื่นชมหรือคำขอบคุณ – และแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการความเห็นใจ
ที่เขาต้องการคือ ทางออก .. เมื่อตำรวจหญิงผู้มีความสงสัยและสิ้นหวัง แอนเจลา ดอดสัน (เรเชล ไวซ์) ขอความช่วยเหลือจากเขา ในการไขคดีฆาตกรรมลึกลับของน้องสาวฝาแฝดของเธอ การสืบสวนของพวกเขา ได้นำพาไปยังทั้งโลกแห่งความชั่วร้ายและเทพยดา ที่ปรากฎอยู่เพียงแค่ใต้ภูมิทัศน์อันทันสมัยของลอสแอนเจลิส เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางมหันตภัยของโลกอื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองจึงต้องพัวพันอย่างหาทางออกไม่ได้ และต้องขวนขวายที่จะหาความสงบแห่งตนเอง.. ไม่ว่ามันจะมีราคาสักเท่าใดก็ตาม
สงครามบนโลกมนุษย์ได้ยุติลง แต่ทว่าสงครามในห้วงจักรวาลนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากการกลับมาถึง ไซเบอร์ทรอน สตาร์สครีม ได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งฝ่ายดีเซปติคอนส์ และได้ตัดสินใจกลับมาบุกรุกโลกพร้อมกองกำลังจักรกลสังหาร ฝ่ายออโต้บอทส์ ที่เชื่อมั่นในสันติภาพได้พบว่า ซากหุ่นที่ถูกทำลายของ เมกาทรอน ได้ถูกขโมยไปจากกองทัพสหรัฐฯ โดย สคอร์ ฟิน็อกซ์ และทำให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เมกาทรอนจึงกลับมาเพื่อแก้แค้น พร้อมสตาร์สครีมผู้ภักดี และกองทัพจักรกลสังหารฝ่ายดีเซฟติคอนส์ที่เดินทางมาสมทบอีกจำนวนมาก มหาสงครามแค้นครั้งนี้จึงเป็นงานใหญ่สำหรับฝ่ายออโต้บอทส์ ที่จะต้องรับศึกอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้
เมื่อโลกเปลี่ยนเป็นสมรภูมิรบของพวกมัน เหล่าจักรกลสังหารที่มาจากจักรวาลอันไกลโพ้น ฝ่าย เมกาทรอน ผู้พิทักษ์รักสันติ ซึ่งมี ออพติมัส ไพรม์ เป็นผู้นำ และฝ่ายดีเซปติคอนส์ ผู้ทำลายล้าง ซึ่งมีเมกาทรอน เป็นผู้นำและหวังจะยึดครองแหล่งพลังงานบนโลก
สงครามของทั้งสองฝ่ายได้เกิดขึ้นจึงเกิดขึ้นบนโลกของเรา ซึ่งกุญแจสำคัญของสุดยอดพลังอำนาจที่ฝ่ายทำลายล้างต้องการครอบครองนั้นอยู่ที่เด็กหนุ่มที่ชื่อ แซม วิทวิคกี้ (ไชอา ลาบัฟ) ที่ยังไม่รู้ว่าเขาคือความหวังสุดท้ายของโลก แซมและแฟนสาวสวย มิคาเอลล่า (เมแกน ฟ็อกซ์) ต้องตกอยู่ในวงล้อมของอภิมหาสงครามจักรกลนี้ เมื่อถูกต้อนในอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต จากเด็กหนุ่มที่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องราวใด ๆ ก็กลับทำให้แซมเข้าใจถึง คติประจำครอบครัวของตนเองที่ว่า “ถ้าไม่มีการเสียสละ ก็ไม่มีวันได้มาซึ่งชัยชนะ!”