ดูหนัง The Battleship Island (2017) เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์
เมื่อประเทศเกาหลีครั้งตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ชาวเกาหลีกว่า 400 ชีวิต ถูกส่งไปใช้แรงงานใต้เหมืองถ่านหินบนเกาะเรือรบ แต่ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายเกินกว่ามนุษย์จะมีชีวิตรอด พวกเขาจึงร่วมกันวางแผนหลบหนีออกมา 3 สิงหาคมนี้ !! พบกับภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปีจากประเทศเกาหลี เล่าถึงชีวิตการทำงานเสี่ยงภัย ถูกกดขี่เยี่ยงทาส และสภาพความเป็นอยู่อันแสนทารุณเยี่ยงนรก ของชาวเกาหลีหลายร้อยคน ที่ถูกคนญี่ปุ่นหลอกบังคับมาใช้แรงงานที่เกาะฮาชิมะ ในช่วงปีท้ายๆของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชายฉกรรจ์ และเด็กชาย จะเป็นแรงงานทาสในเหมืองถ่านหินใต้ดินลึก ส่วนผู้หญิงจะกลายเป็นหญิงบำเรอให้กับชาวญี่ปุ่น
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังการอพยพหนีตายจากขุมนรกแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อมีเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษคนหนึ่งแฝงตัวเข้ามา หวังช่วยเหลือบุคคลสำคัญของรัฐบาลเกาหลีที่ถูกจับไว้ แต่หลังจากความจริงบางอย่างถูกค้นพบ ทำให้เขาเปลี่ยนใจทิ้งภารกิจเดิม หันมาวางแผนนำเพื่อจะนำแรงงานเกาหลีทั้งหมดหลบหนีแทน ให้ทันก่อนที่ผู้นำญี่ปุ่นบนเกาะจะถล่มเหมืองและคนงานทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน เพราะเริ่มตระหนักว่าญี่ปุ่นกำลังใกล้จะแพ้สงครามแล้ว
นักแสดง The Battleship Island
Song Joongki
Hwang Jungmin
So Jiseob
Lee Junghyun
ผู้กำกับ : Ryoo Seungwan
รีวิว
ก่อนอื่นต้องเล่าให้ฟังว่า หนังเกาหลีเรื่องนี้มันน่าสนใจตรงไหน นี่คือว่าที่แชมป์หนังทำเงินในเกาหลีใต้ปีนี้นะครับ The Battleship Island เพราะว่าหนังสร้างกระแสความสนใจไว้สูงก่อนเปิดตัว ก็เลยมีผู้ชมแห่ไปจองตั๋วล่วงหน้า 179,553 ที่นั่ง ทำลายสถิติ Train To Busan แชมป์ปีที่แล้ว และในวันแรกที่เข้าฉาย 26 ก.ค. ก็มีผู้เข้าชมถึง 980,000 คน บ้านเราได้เข้าฉายต่อจากเกาหลีสัปดาห์เดียวก็เลยยังไม่มีตัวเลขจากเกาหลีใต้ว่าทำเงินไปแล้วเท่าไหร่ แต่น่าจะทำกำไรในประเทศได้มหาศาลล่ะ เพราะหนังโปรโมทรุนแรง บวกกับมีซูเปอร์สตาร์มารับบทนำทั้ง ซง จุงกิ , โซ จีซป และ ฮวาง จองมิน ใช้ทุนสร้างมหาศาลไปถึง 21 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยิ่งกระแสแรง ก็ยิ่งก่อให้เกิดดราม่าตามมาตั้งแต่ก่อนเข้าฉาย แต่ยิ่งดราม่าก็ยิ่งเหมือนเป็นการโปรโมทหนังไปอีกทาง เพราะพลอตหนังคือโศกนาฏกรรมที่ญี่ปุ่นรังแกเกาหลีในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีบันทึกชี้ชัดในหน้าประวัติศาสตร์ ทางญี่ปุ่นก็ออกมาแสดงความไม่พอใจกับสถานะของชาติญี่ปุ่นในเรื่องนี้ ที่ถูกวางตัวให้เป็นปีศาจร้ายอีกครั้ง และจากที่ผู้เขียนดูแล้วก็ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นในเรื่องนี้ โหด+เลว แบบไม่มีดีเลย ก็สมควรที่ญี่ปุ่นจะร้อนตัวนะ
หนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 10 นาที แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และมีฉากแอ็คชั่นตื่นตาหยอดมาตลอด เลยไม่มีสักนาทีที่จะทิ้งช่วงให้รู้สึกง่วงเลย ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนังเกาหลีใต้เสกลใหญ่จริง เพราะไปถ่ายเกาะจริงไม่ได้ ทีมงานเลยจำลองเกาะฮาชิมะขึ้นมาในอัตราส่วน 70% จากเกาะจริง ฉากที่พัก บ้านเรือน เหมืองถ่านหิน ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หมด รายละเอียดในเส้นเรื่องก็แน่นมาก ทั้งการแนะนำตัวละครหลัก การชิงดีชิงเด่นกันทั้งในฝ่ายทหารญี่ปุ่น และฝ่ายแรงงานเกาหลี การคอรัปชั่นฉ้อฉล
การทรยศหักหลัง โอ้ย!! เต็มไปหมด เตือนเลยว่าต้องมีสมาธิในการดูสูงมาก อย่างแรกเพราะตัวละครเยอะมาก ทั้งฝ่ายเกาหลีและญี่ปุ่น แล้วพอไปอยู่ในเหมืองหน้าเลอะ ๆ ดำ ๆ ก็แยกไม่ออกอีกว่าใครเป็นใคร แล้วบทสนทนาก็ไม่ค่อยเรียกชื่อกันอีก ดูจบยังไม่รู้เลยว่าไอ้ตัวไหนชื่ออะไร และอีกอย่างคือ หนังเดินเรื่องเร็วมากไม่ค่อยปูทางกันยาวเลย คุยแผนการแป๊ปเดียวตัดมาอีกฉากแผนการเดินหน้าแล้ว บท”พัค” ของ ซงจุงกิ ตะกี้รับมอบหมายงานอยู่ที่จีน ตัดมาอีกฉากเป็นคนงานอยู่ในเหมืองแล้ว เฮ่ย!มึงมาตอนไหนวะ ต้องขออนุญาตแฟนคลับซง จุงกิ นะครับ ผมว่าบท”พัค” นายทหารคร่ำศึกดูขัดกับหน้าตาใสซื่อของซง จุงกิ มาก ตามบทพัคนี่โคตรโหดเลยล่ะ คุย ๆ กันอยู่พี่จับปาดคอเลือดสาดเฉยเลย แต่มองหน้าซง จุงกิ นี่ไม่ใช่ง่ะ ดูยังไงก็สัมผัสรังสีอำมหิตไม่ได้เลยนะ
ในดารานำทั้งหมดรายที่โดดเด่นสุดคือ “คิมซูอัน” ในบท “โซฮี” เราเคยเห็นเธอกันมาแล้วจาก Train To busan แต่ตอนนั้นบทยังไม่เปิดโอกาสให้ได่โชว์ของขนาดนี้ แต่บท โซฮี นี่มาครบทั้งภาพของเด็กแก่แดด เด็กดราม่า หลาย ๆ ซีนที่เธอขโมยมาเป็นของตัวเองหมด ชอบฉากที่เธอพยายามเอาตัวรอดตอนที่ส่งไปรับแขกในชุดกิโมโนมาก ทั้งน้ำเสียงหน้าตาดึงให้เรารับรู้ถึงจิตใจร้อนรนของเธอได้จริง ๆ เป็นเด็กที่ความสามารถเกินตัว เก่งมากจริง ๆ และได้ประกบแต่ซูเปอร์สตาร์ทั้งนั้นเลยนะ กงยู ก็แล้ว รอบนี้มาเจอ ซง จุงกิ อีก
– ไร้การสปอยเนื้อหาสำคัญ –
ถือว่าได้การตอบรับที่ปังมากอีกเรื่องของสัญชาติเกาหลี เพราะหนังสามารถนำพาคนดูให้รู้สึกสนุกไปกับเรื่องราว และประเด็นต่างๆที่อิงมาจากเรื่องจริงของหนังได้อินมาก หนังขยี้หนักตั้งแต่เปิดเรื่องยันตอนสุดท้าย นับได้ว่ากดดันและสะเทือนอารมณ์สุดๆเลยก็ว่าได้ เรื่องราวในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น ช่วงยุคสครามโลกครั้งที่ 2 พวกชาวเกาหลีกว่า 400 คน ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอย่างหนักเพื่อขุดถ่านหินในเหมืองแร่บนเกาะเรือรบ หรือเกาะฮาชิมะ พวกเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหนีออกมาจากเกาะแห่งนั้น ” ลีคังอ๊ค (Hwang Jung Min) ” วาทยากรประจำโรงแรมคยองซอง ตัดสินใจเดินทางไปญี่ปุ่นกับลูกสาวของเขา ” โซฮี (Kim Soo Ahn) ” แต่กลับถูกกองทหารล่อลวงเกณฑ์ไปใช้แรงงานบนเกาะเรือรบ
โดยการหลอกว่าจะส่งเขาไปญี่ปุ่น บนเกาะเรือรบเพื่อใช้งานเยี่ยงทาส ลีคังอ๊คต้องทำทุกวีถีทางเพื่อปกป้องลูกสาวของเขา ด้าน ” ชเวชิลซอง (So Ji Seob) ” สุดยอดนักเลงแห่งคยองซอง มักจะก่อความเดือดร้อนบนเกาะเรือรบเสมอ แต่เขาก็เป็นคนที่มีหัวใจอันอบอุ่น ในขณะที่ ” ปาร์คมูยอง (Song Joong Ki) ” ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มอิสรภาพเกาหลี ก็ได้ลักลอบเข้าไปบนเกาะเรือรบเพื่อช่วยเหลือสมาชิกกลุ่มอิสรภาพคนหนึ่ง แต่แล้วเหตุการณ์ภายในเกาะมันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นมาก สิ่งที่ทุกคนรับรู้อาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมดของเบื้องหลังแห่งเกาะนรกนี้ แผนการของปาร์คมูยองที่วางไง้จึงต้องพลิกแผนไปอย่างฉับพลัน จากเพียงแค่ช่วยเหลือแต่สมาชิกของตน ต้องเปลี่ยนมาช่วยชีวิตของชนชาติเกาหลีเกือบ 400 คน !
หนังเล่าเรื่องที่รุนแรงตั้งแต่ต้นเลย ขยี้หนักมาก ทั้งทำร้ายร่างกายแบบรุนแรง ดูแล้วชวนเจ็บแทนและน่าเห็นใจ คือหนังเผยพฤติกรรมของมนุษย์ได้ดิบเลย เป็นมุมของความเหี้ยมโหดของมนุษย์ที่ใส่เข้ามาพร้อมๆกับความรุนแรงของสงครามในช่วงนั้น ซึ่งมันจะเพิ่มความน่าติดตามและเดือดมากยิ่งขึ้น ดูแล้วแบบอึดอัดแทน เท่านั้นยังไม่พอ พอหนังเริ่มเข้ากลางเรื่อง ยังมีประเด็นการเมืองเข้ามาแทรกแซงอีกต่างหาก จุดนี้เริ่มมีความทวีคูณความเข้มข้นของเนื้อหาและสถานการณ์ต่อจากนี้มากขึ้น คือมันสนุกในความสะเทือนอารมณ์ที่โคตรระทึกไม่เบา สามารถทำให้เราจดจ่อแม่งทุกฉาก ทุกบทสนทนา ซึ่งพอเข้าถึงจุดนี้แล้ว หนังยังขยี้ต่อ ขยี้ให้เห็นว่า ความโหดร้ายไม่ได้อยู่แค่ฝั่งศัตรูชาติอื่นเพียงอย่างเดียว
แม้แต่คนในชาติเดียวกัน ยังหักหลัง ทรยศเพราะผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่ถ้าหากมองรวมๆแล้ว ประเด็นที่โดดเด่นอย่างแท้จริงของหนัง หนังจะเล่าเรื่องโดยจะมุ่งประเด็นให้ฝั่งสัญชาติญี่ปุ่นดูเลวร้ายทารุณหนักซะส่วนมาก มากกว่าที่จะขยี้ในส่วนอื่นๆ ฉะนั้นแล้วอารมณ์ความเป็นชาตินิยมมันจึงมาแน่นมากเลยทีเดียว ฉะนั้นการเชื่อมโยงของทุกๆประเด็นยังไม่ค่อยคงที่มากซะทีเดียว ยังมีจุดที่ดูแล้วรู้สึกแปลกไปหน่อยบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นแย่ โดยรวมเราค่อนข้างที่จะชอบมากเลยนะ รู้สึกอินหนักมาก
ดูหนัง The Battleship Island คือแบบอารมณ์ ความรู้สึก เข้าถึงตัวละครทุกอย่าง ณ ตอนดู ทั้งอึดอัด และสงสาร และลุ้นเอาใจช่วยตลอดเวลา แต่เราว่าพาร์ทดราม่า หนังยังทำไม่สุดเท่าไหร่ พาเราไปไม่ถึงเท่า Train To Busan แต่ความเดือดและกดดันต่างๆค่อนข้างใช้ได้มากพอๆกัน แต่สถานการณ์ในเรื่อง The Battleship Island ค่อนข้างเดือดกว่า เพราะมันเป็นหนังสงครามที่ฟาดฟันกันทั้งความรุนแรงและอารมณ์ ช่วง 20-30 นาทีสุดท้ายคือโคตรเดือด โปรดักชั่นอย่างใหญ่ เป็นสงครามที่ลุ้นเหนื่อยชิบหาย เรียกว่าเข้าข่ายคำว่า ” หายนะ ” กระหน่ำยิง
เฟี้ยงระเบิดกันพินาศมาก เป็นช่วงที่รู้สึกว่าโคตรสนุกและโคตรระทึก ลุ้นแม่งทุกช็อต เอาใจช่วยให้รอดได้มากที่สุดจริงๆ ช่วงหลังเราจะเห็นถึง ความใจสู้แบบเป็นไงเป็นกันมากที่สุด คือมันดูยิ่งใหญ่มาก ตายเป็นตายกันเลยทีเดียว ด้านนักแสดงทุกคนฟาดฟันกันถึงพริกถึงขิงมาก คือแบบจริงจังดีมาก คือเกลี่ยบทบาทได้เท่ากัน แบบว่าทุกคนมีความสำคัญต่อเรื่องนี้ กระทั้งรวมถึงนักแสดงสมทบด้วย ทุกคนคือส่วนสำคัญ สรุปแล้วเป็นหนังที่ครบรสอยู่ไม่น้อยเลย โปรดักชั่นยิ่งใหญ่ มีความจริงจังและเดือดมาก สนุกเต็มอิ่มตลอด 132 นาทีเลย และให้อะไรกับคนดูอย่างเยอะเลย ” การก่อสงครามนั้นไม่เคยทำให้ใครเป็นผู้ชนะเลย ” วันนี้ ในโรงภาพยนตร์ ทั้งระบบปกติและ Screen X