ดูหนัง The Belier Family (2014) ร้องเพลงรักให้ก้องโลก
ณ เมืองเล็กๆ ในฝรั่งเศส วัยรุ่นสาวช่วยดูแลพ่อแม่ที่หูหนวก จนกระทั่งเสียงร้องเพลงที่ไพเราะของเธอเปิดโอกาสให้เธอได้ไปปารีส ในครอบครัวเบลิเยร์ เปาลา วัย 16 ปี เป็นล่าม ที่ขาดไม่ได้ สำหรับ พ่อแม่และพี่ชาย ที่หูหนวก ของเธอ ในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารฟาร์มของครอบครัว แม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่สามารถได้ยิน แต่พรสวรรค์พิเศษของเปาลาคือการร้องเพลง คณะนักร้องประสานเสียงของเธอได้ซ้อมเพลงของนักร้องฝรั่งเศสชื่อดังอย่างมิเชล ซาร์ดูครูสอนดนตรีสนับสนุนให้เปาลาไปออดิชั่นที่ วิทยาลัยดนตรี Maîtrise de Radio Franceที่มีชื่อเสียงในปารีส ซึ่งจะช่วยให้เธอมีอาชีพการงานที่ดีและได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้หมายถึงการออกจากครอบครัวและก้าวแรกสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นธีมที่แสดงออกมาในเพลงออดิชั่นของเธอที่มีชื่อว่า ‘Je vole’ (‘ฉันบิน’) ของซาร์ดู
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Karin Viard คาริน วิยาร์ด
François Damiens
Éric Elmosnino
ผู้กำกับ : Éric Lartigau
รีวิว The Belier Family (2014) ร้องเพลงรักให้ก้องโลก
หนังโปรดของข้าพเจ้า
คอมเม้นสั้น ๆ ก่อนเลยว่าถ้าใครชอบหนัง feel-good ให้กำลังใจซาบซึ้งทั้งหลายก็ไปดูเถอะ เห็นแก๊ง FilmsFam เดินออกจากโรงมาก็ชอบกันหมด บางคนน้ำตาไหลซาบซึ้งกันเลยทีเดียว มีผมกับอีกคนเท่านั้นที่รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องราว ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของหนัง เพียงแต่มันไม่ตรงจริตเราเท่านั้นเอง
หนังไม่มีไรมากก็แค่เล่าเรื่องครอบครัวของ ‘โปยา เบลิเยร์’ (Louane Emera ผู้แข่งขัน The Voice ฝรั่งเศสปี 2013) ซึ่งพ่อแม่และน้องของเธอมีปัญหาหูหนวกกันหมด แต่เธอดันมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงจึงเป็นเหตุผลที่ครูสอนร้องเพลงแนะนำให้เธอไปออดิชั่นวงดนตรี แต่เธอกลับรู้สึกผิดที่จะต้องทิ้งครอบครัว ซึ่งในท้ายที่สุดเธอก็ต้องเลือกว่าจะอยู่ช่วยงานฟาร์มของครอบครัว หรือไปออดิชั่นวงดนตรีซึ่งถ้าเข้ารอบก็จะต้องห่างไกลครอบครัวเพื่อไปเรียนต่อที่ปารีส
อันนี้จะอธิบายว่าทำไมมันถึงไม่ใช่จริตเรา
1) หนังมันมีความเป็นสูตรสำเร็จซึ่งขอเทียบกับ Whiplash ที่เป็นสูตรสำเร็จของ underdog fighting คนเก่งแต่มีลักษณะขี้แพ้ แต่ท้ายที่สุดก็พลิกกลับมาได้ ส่วน La famille Bélier มันคือสูตรสำเร็จของหนัง feel-good ประเภทของคนเก่งแต่มีปัญหาบางอย่างในครอบครัว ซึ่งสุดท้ายก็ได้รับการสนับสนุนให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ซึ่งหนังก็เล่นมุกตลกจนหนำใจ แล้วช่วงท้ายก็ใส่ดราม่าซึ้ง ๆ ลงไปเป็นอันจบพิธี
2) ในขณะที่ Whiplash มันทำให้เราเห็นถึงความยากลำบากในการจะไปประกวดดนตรีอะไรสักอย่างจนเรารู้สึกอยากเชียร์เพราะความมุมานะที่จะเอาชนะขีดจำกัดตัวเอง (หนังแนวนี้มีเยอะแต่ไม่ใช่ว่าจะโดนใจเราเสียหมด เราชอบ Whiplash ในประเด็นการสอนเคี่ยวเข็ญเข้มข้นรุนแรงจนกระทบต่อจิตใจของตัวละคร ซึ่งหนังทำตรงจุดนี้ได้หนักแน่นถึงใจ แล้วยังไม่ได้ปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แต่ยังมีวกกลับมาบอกเล่าในช่วงท้ายว่าทั้งหมดนั้นทำไปเพื่อให้คนเรามุมานะฝึกฝนเพื่อเอาชนะคำถากถางจนก้าวพ้นขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ใช่มัวหลงระเริงกับคำว่า “ดีพอแล้ว” จนหยุดพัฒนาตัวเอง) แต่ La famille Bélier มันคือการเอาชนะความรู้สึกผิดของตัวเองที่มีต่อครอบครัว ซึ่งมันไม่ได้แก้ยากและจริง ๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงครอบครัวก็ต้องสนับสนุนตามสูตร เพียงแต่ลึก ๆ เราก็หวังว่าหนังจะใส่น้ำหนักให้คนดูแบบเรารู้สึกร่วมไปกับครอบครัวนี้
3) ค่อนข้างรู้สึกเสียดายพล็อตรองใน La famille Bélier ที่ใส่พล็อตการลงสมัครเลือกตั้งของคนพ่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนังในระดับที่สร้างปัญหาให้การซ้อมดนตรีของนางเอก แต่เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหนังก็ทิ้งส่วนนี้ไปอย่างไม่ใยดีใด ๆ ทั้งสิ้น
4) อันนี้พูดถึงเรื่องเรทติ้งสักนิด (ไม่ได้พูดถึงว่าหนังไม่ดีไม่เหมาะสมแต่อย่างใดนะ) คือบางทีกฎเกณฑ์การจัดเรทติ้งบางอย่างของหนังจากประเทศหนึ่ง มันอาจจะใช้ไม่ได้เลยกับวัฒนธรรมหนังอีกประเทศหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นหนังฝรั่งเศสเรื่องนี้ที่ตัวละครอยู่ในวัยเพียงไม่เกิน 12-13 ปี (เพิ่งมีประจำเดือน) แต่ไปไกลสุดกู่ทั้งเรื่อง sex และมุกตลกสองแง่สองง่าม อีกทั้งหนังยังประเคนมุกทะลึ่งสัปดนเข้ามาเป็นมุกตลกมากมายหลายครั้ง จนเรารู้สึกว่าเรทติ้งดูได้ทุกวัยมันอาจจะเป็นเรทติ้งที่เหมาะสมกับดินแดนยุโรปเปิดกว้าง แต่ไม่ใช่กับบางประเทศเช่นไทยอย่างแน่นอน
VIDEO