ดูหนัง The Djinn s Curse (2023) ของแขก
ที่คนที่นี้เรียกกันว่า ของของโต๊ะแนแนะ ในโลกของมนุษย์เราคือนายของมัน แต่ในโลกของ ญิน หรือ ผีแขก มันคือนายของเรา ครอบครัวของวินต้องเผชิญกับความลับด้านมืดในโลกของญิน ทาให้การตัดสินใจของวินที่ต้องการย้ายครอบครัวมาทางานที่ใต้ที่จังหวัดนราธิวาส “The Djinn s Curse” เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาชีวิต กลับเป็นการสร้างปัญหาให้เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม วินและครอบครัวจะหาทางออกได้หรือไม่ กับความลับด้านมืดในโลกของญินที่กำลังเกิดขึ้น The Djinn’s Curse คือผลงานการกำกับของ มะมูน-เกรียงไกร มณวิจิตร ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ต้องอพยพไปอยู่จังหวัดนราธิวาสเนื่องจากปัญหาทางการเงิน แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อการมายังสถานที่แห่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับสิ่งเร้นลับที่เรียกว่า โดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าความลับอันดำมืดเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ อาจเกี่ยวโยงกับบ้านที่พวกเขาพักอาศัย และอดีตที่ไม่อาจเปิดเผยของคนในครอบครัว การที่ มะมูน ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นคนนราธิวาส ได้นำเรื่องราวและเรื่องเล่าในบ้านเกิดของเขามาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำภาพยนตร์ก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องผี ศาสนา หรือแม้กระทั่งพิธีกรรมมนตร์ดำทางภาคใต้ที่ดูจะห่างไกลจากชีวิตของใครหลายคนพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีเสน่ห์อย่างมากเมื่อได้ยินในคราแรก แต่พอกลายเป็นภาพยนตร์ที่ต้องอิงอาศัยความสามารถของคนเล่าเรื่อง องค์ประกอบเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ถูกลดทอนลงอย่างมาก เมื่อภาพยนตร์เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายที่ผุดขึ้นมาตามทาง
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
อัครา ลูคัส
อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์
อนีมา พินิจ
ผู้กำกับ : เกรียงไกร มณวิจิต
รีวิว The Djinn s Curse (2023) ของแขก
entertainment
ผลงานเรื่องนี้เป็นฝีมือของ มะนูน-เกรียงไกร มณวิจิต ที่ถือว่าเป็นนักสร้างหนังที่รู้จักและคุ้นเคยเกี่ยวกับแวดล้อมความเป็นมลายูอย่างดี เพราะเกิดและเติบโตในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ทำให้การสร้างโทนและบรรยากาศต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้สอบผ่านฉลุยเริ่ม ผู้กำกับค่อนข้างรู้จักแง่มุมและการสร้างกลิ่นอายตามคอนเซ็ปต์หนังออกมาได้ค่อนข้างน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาของหนังส่วนใหญ่ที่ยังต้องเผชิญก็คือบทหนัง ในเรื่อง ก็เช่นเดียวกัน ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับบทหนังที่ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมายเต็มไปหมด เอาจริง ๆ บทหนังมีอยู่แค่หยิบมือเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นหนังชั่วโมงครึ่งก็ยังรู้สึกว่ายืดเยื้อเกินไปหน่อย อีกทั้งบทยังไม่สามารถสร้างความผูกพันและเสน่ห์ให้กับตัวละครแต่ละตัวได้เลย
หนำซ้ำยังต้องมาผสมโรงเข้ากับจังหวะการเล่าเรื่องที่ติด ๆ ขัด ๆ ไปตลอดทาง ผนวกกับลีลาการตัดต่อหนังที่อยากจะตีมือจริง ๆ พอองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกันแล้ว กลายเป็นว่า ของแขก ได้ถูกลดดีกรีลงไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยบทหนังที่ไม่ค่อยคมคายและชัดเจนสักเท่าไหร่ มาเจอการเล่าเรื่องที่อยากจะทำอะไรก็ทำ สู่การตัดต่อที่ค่อนข้างไร้อารมณ์ โดยเฉพาะการหยิบเอา Fade Out มาใช้เชื่อมฉากบ่อย ๆ ยิ่งกลายเป็นจุดที่ขัดอารมณ์สยองขวัญของคนดูไปแบบช็อตฟีล
ถึงแม้ว่าอย่างน้อย ๆ ทีมนักแสดงของเรื่องนี้ก็ผนึกกำลังกันอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าพวกเขาทำการแสดงระดับมืออาชีพออกมาได้เหมาะเจาะ ถึงบทจะค่อนข้างอ่อนและไร้เสน่ห์ก็ตาม แต่พวกเขาก็ช่วยยื้อและแบกตัวหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะยังไม่ค่อยเอาอยู่เท่าไหร่ก็ตาม
“กอฟ อัครา” คือต้องไปลับคมทางการแสดงใหม่อีกเยอะ เรื่องนี้ถือว่าเขากลับมาปัดฝุ่นแสดงนำในหนังอีกครั้งในรอบสิบ ๆ ปี กลายเป็นว่าเขาแทบจะไม่สามารถแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ด้วยตัวเองได้เลย ลีลาท่าทางการแสดงยังออกมาแข็งในหลายฉาก บางทีก็อาจจะแข็งกว่านักแสดงที่รับบทเป็นปีศาจด้วยซ้ำไป แต่เชื่อว่าเขาคือนักแสดงที่มีของ เคยวาดลวดลายได้ดีมาก่อน เพียงแต่ครั้งนี้วิชาแอคติ้งของเขายังไม่ค่อยฟื้นเท่าไหร่
กลายเป็นว่า “ทับทิม อัญรินทร์” กับ “โม อนีมา” กลายเป็นมาเป็นนางแบก ที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการประคองหนังเรื่องนี้ แม้ว่าซีนของพวกเธอจะไม่ได้เยอะแยะเท่ากับพี่กอฟ แต่ถือว่าศิษย์เก่าจากช่อง 7 ทั้งคู่ก็ถ่ายทอดการแสดงออกมาได้เป็นการแสดงอย่างสมบทบาทดี โดยที่ทับทิมที่ต้องมารับบทเป็นแม่ลูกโตแล้ว อาจจะเป็นบทที่ค่อนข้างไกลจากตัวไปหน่อย แต่เธอก็เล่นได้ดี แม้กระทั่งจังหวะไอและสำลักยังแสดงได้ดีเลย