ดูหนัง The Man from U.N.C.L.E. (2015) คู่ดุไร้ปรานี
ผลงานการกำกับของกาย ริตชี่ กับ The Man from U.N.C.L.E. ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 1960 เมื่อสงครามเย็นปะทุขึ้นอย่างหนัก หน่วย The Man from U.N.C.L.E. ซึ่งมีสายลับ CIA โซโลและสายลับ KGB เคอร์ยาคิน ทั้งคู่ต้องจำใจทิ้งความบาดหมางและร่วมกันปฏิบัติภารกิจหยุดยั้งองค์กรแห่งอาชญากรรมลับทั่วโลก ซึ่งมีจุดหมายคือการเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์และเทคโนโลยีเพื่อทำลายสมดุลของมหาอำนาจ ทว่าผู้ที่บงการพวกเขาได้กลับมีเพียงลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์เยอรมันที่หายตัวไปซึ่งเธอคือกุญแจสำคัญสู่การแทรกซึมเข้าองค์กรอาชญากรรม! ทั้งคู่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อหาตัวพ่อของเธอให้พบและปกป้องโลกจากความวินาศนี้ให้ได้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
เฮนรี แควิลล์
อาร์มี แฮมเมอร์
ฮิว แกรนต์
จาเรด แฮร์ริส
ผู้กำกับ : กาย ริตชี
รีวิว
ขอบสหนัง
ขอบสหนังรีวิว
The Man from U.N.C.L.E.
อเมริกาและโซเวียต (รัสเซีย) แย่งชิงความเป็นมหาอำนาจมายาวนาน มุมมองทางการเมืองที่บริหารแตกต่างกัน กลับกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแนวสายลับอยู่เรื่อยๆ และกาย ริชชี่ ผู้กำกับที่ชอบสร้างสตอรี่หนังแนวมาเฟีย ตัดสินใจเดินหน้าปัดฝุ่นเอาซีรีย์ดังยุค 60s เรื่องราวในยุคสงครามเย็น มาทำให้หนังดูสนุกมีความคอเมดี้อยู่กลายนำความขัดแย้งมาสร้างเป็นมิตรภาพที่ต้องช่วยกันทำภารกิจเพื่อยับยั้งนิวเคลียร์ของนาซีที่หลงเหลืออยู่
.
ข้อดี
แม้จะใช้สงครามเย็นมาเป็นตัวนำเรื่อง แต่หนังไม่ได้พถึงประเด็นนี้แต่อย่างใด หลักๆแล้วมันคือเรื่องทัศนคติของคนอเมริกันและโซเวียต ที่มีความบาดหมางเพราะถูกปลูกฝังให้ไม่ถูกกันในเรื่องของอุดมการณ์มาแต่ไหนแต่ไร ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองเป็นชาติมหาอำนาจ และหวังเอาดิสก์ผลิตนิวเคลียร์มาเพื่อประกาศว่าตัวเองเจ๋งกว่าในยุคสงครามเย็น
รายละเอียดของหนังคือการทำงานร่วมกันของชาติที่มีมุมมองการเมืองคนละด้าน เผด็จการ และประชาธิปไตยแบบเสรี แต่ก็ได้เห็นว่ามันเต็มไปด้วยการวางแผนดัดหลังอีกฝ่าย ทั้งที่ร่วมมือกันแท้ แต่กลับไม่วางใจซึ่งกันและกัน หวังจะเล่นตุกติกกับอีกฝากหนึ่ง
สายลับอย่าง โซโล่ และอิลิย่า คือมือหนึ่งที่ทางการของอเมริกัน และโซเวียตไว้เนื้อเชื่อใจ แต่หนังก็เล่าเรื่องราวลึกๆว่าทั้ง 2 ก็ไม่ได้อยากปกป้องประเทศตัวเอง แต่จำใจต้องมาเป็นเพราะไม่มีทางเลือก การเดินหน้าทำภารกิจจึงเกิดความรู้สึกที่ไม่ได้บาดหมางหรือไม่ชอบขี้หน้าแต่อย่างใด บทหนังเลือกทำให้เห็นพฤติกรรมของคนทั้ง 2 ชาติ ที่แตกต่างกัน มีแนวทางของตัวเองซึ่งเป็นการดีไซต์ให้ดูสนุกเน้นตลกมากกว่าจะไปคาดหวังโทนแอ็คชั่น ซึ่งตรงนี้คือจุดนี้คือเอกลักษณ์ของกาย ริชชี่ เขาเลยละ แม้ว่าบทนำจะสื่อถึงสายลับ 2 ชาติ แต่ก็มีมุมประเด็นการหลอกล่อของสุภาพสตรีเข้ามาทั้งตัวร้ายและตัวดีเป็นเครื่องมือบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ผู้หญิงยังมีความอันตราย มารยาหญิงน่ากลัว ผู้ชายหลงกลตกเป็นเหยื่อแทบทุกที
ประเด็นสุดท้ายที่ขอชื่นชมคือเรื่องการวางเฟรมภาพ โลเคชั่นการถ่ายทำ และคอสตูมที่เนี้ยบให้อารมณ์เหมือนอยู่ในยุค 60 จริงๆ ซึ่งภาพที่ปรากฏสู่สายตามันสวยงามมากๆ
.
นักแสดง
เรื่องนี้เราได้เห็น เฮนรี่ คาวิลล์ ในลุคสายลับที่ดูสมาร์ท จนหลายๆคนออกปากเชียร์ให้คนได้ทำตามความฝันเป็นเจมส์ บอนด์ ต่อจากดาเนียล เคร็กเสียที เรื่องนี้เขาได้เล่นเป็นสายลับจอมกวนตีนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่บทไม่ได้เด่นมากพอๆกับ อาร์มี แฮมเมอร์ ที่ผลัดกันโชว์ความหล่อ ความเท่ห์ ยามที่ทำภารกิจ
ด้านอลิเซีย วิกานเดอร์ ก็ดูใสๆแสบสันต์กว่าที่คิด เป็นจอมป่วน 2 สายลับ เธอมีอยู่ 1 ซีนในหนังที่น่ารักมากๆ ส่วนเอลิซาเบธ เดบิคกี้ ตัวร้ายลุคไฮไซ ที่บทบาทมีไม่เยอะ ไม่น่าจดจำเลย ออกน้อย ไร้ซึ่งความน่ากลัว
.
ข้อเสีย
เนื้อหาของตัวหนังเปราะบางเกินไป มันเกิดจาก กาย ริชชี่ วางแผนหักมุมให้มีความซับซ้อน แต่เขาลืมไปว่าหนังสายลับสงครามมันควรจะมีฉากแอ็คชั่นที่เล่าเรื่องได้ ส่วนตัวร้ายน้ำหนักมันขาดหายไปไม่น่ากลัวทั้งที่เป็นผู้ก่อการร้ายหวังใช้นิวเคลียร์ทำลายโลกแท้ ความรู้สึกมันไม่เจ๋งเหมือนงานเก่าๆของเขาเลยสักนิด อันนี้ผมรู้สึกเอง และไม่แปลกใจเลยที่โปรเจ็คนี้ยังลูกผีลูกคนในเรื่องการทำภาคต่อ ทั้งที่ปูเนื้อเรื่องรอไว้แล้ว
.
สรุป
ชอบโทนหนังที่ได้อารมณ์ยุค 60 โปรดักชั่นดูเท่ห์ ละเมียดละไมทุกด้านภาพ แถมใช้ประเด็นอุดมการณ์ความเป็นชาตินิยม สอดแทรกเอาไว้ในตัวหนังอย่างแนบเนียน แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความสนุกที่กาย ริชชี่ จัดมาอัดแน่นไปด้วยความคอเมดี้ตลอดทั้งเรื่อง
แจกคะแนนรีวิว 7.5/10
หนังมีให้ชมแบบถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง Amazon และItunes
เซียวเล้ง
[CR] [Review] The Man from U.N.C.L.E. – แสงอรุณแห่งคุณลุง
ก่อนจะไปพบกับ “Batman V Superman: Dawn of Justice” แสงอรุณแห่งยุติธรรมในปีหน้า ปีนี้ขอเชิญมาพบกับ “The Man from U.N.C.L.E.” แสงอรุณแห่งคุณลุงกันก่อน ซึ่งจะว่าไปนี่เกือบจะเป็นการปะทะกันของ Batman และ Superman เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า “Henry Cavill” นั้นรับบทเป็น “Superman” คนปัจจุบัน ขณะที่ “Armie Hammer” นั้นก็เคยถูกวางตัวให้เป็น “Batman” ในหนังเรื่อง “Justice League Mortal” ซึ่งวางแผนจะสร้างเมื่อปี 2007 แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกไป ก่อนที่จักรวาลหนัง DC จะมีหน้าตาแบบปัจจุบัน
“The Man from U.N.C.L.E.” เป็นหนังแนวสายลับที่รีเมคมาจากซีรีส์ชื่อเดียวกันทีออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 1964 เรื่องราวเกี่ยวกับ 2 สายลับชาวอเมริกันและโซเวียต ที่ต้องมาจับคู่ทำงานร่วมกันภายใต้องค์กรที่มีชื่อว่า “U.N.C.L.E.” (United Network Command for Law and Enforcement) ทั้งที่สมัยนั้นคือยุคสมัยของสงครามเย็น ที่สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตจ้องจะหาทางทำลายกันอยู่ตลอด
ในฉบับหนังยังคงช่วงเวลาในเรื่องให้เป็นยุค 60’s อยู่ เนื้อเรื่องก็ยังวนเวียนกับประเด็นใหญ่สุดในยุคนั้น “นิวเคลียร์” ดังนั้นในแง่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรใหม่ การที่สายลับจากชาติคู่อาฆาตต้องมาจับมื่อกัน เพื่อยับยั้งมือที่ 3 ที่จะนำนิวเคลียร์ไปใช้ อาจเป็น Plot ที่ดูล้ำยุคในสมัยนั้น แต่ผ่านมา 50 ปีแล้ว เรามีหนังสายลับเกิดขึ้นใหม่มากมาย เล่นกับเรื่องราวมาเกือบทุกรูปแบบ ยิ่งสงครามเย็นก็จบลงไปแล้ว ภัยร้ายนิวเคลียร์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป จนหนังสายลับหลายๆ เรื่องต้องหันไปเน้นเจาะจิตใจสายลับแบบ James Bond ยุคใหม่ หรือไม่ก็เปลียนแนวมากัดจิกขนบหนังสายลับแทนแบบ Spy หรือ Kingman
แต่ถึง The Man from U.N.C.L.E. จะไม่ใหม่ในแง่เนื้อเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้หนังหมดความน่าสนใจลง เพราะสิ่งที่สายลับเรื่องนี้ใช้ชูโรงได้ก็คือ “ความมีรสนิยม” คาแรกเตอร์ตัวละครที่ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเก่ง ฉากหลังในยุค 60’s เสื้อผ้าแนวที่เนี๊ยบ และดนตรีประกอบย้อนยุค ทั้งหมดส่งเสริมให้สายลับจากองค์กรคุณลุงดู “เท่” ขึ้นมา เป็นความเท่ที่มีสไตล์เฉพาะตัวที่สายลับยุคปัจจุบันเรื่องอื่นๆ มักขาดหายไป The Man from U.N.C.L.E. เป็นสายลับที่ให้อารมณ์แบบ James Bond สมัยก่อนที่เน้นมาดเนี๊ยบ รสนิยมดี แต่ตัดความเวอร์จากอุปกรณ์ไฮเทคออก ขณะที่มุขตลกก็ค่อนข้างเข้าเป้า หลายมุขมาแบบนิ่งๆ แต่ขำมากทีเดียว เป็นการกวนตีนแบบผู้ดีๆ
ส่วนตัวยังประทับใจ “Henry Cavill” เพราะที่ผ่านมามักมีอาถรรพ์นักแสดงที่รับบท Superman มักไปเล่นบทอื่นไม่ค่อยรอด แต่เรื่องนี้ Henry สลัดภาพบุรุษเหล็กออกไปได้เยอะเลย จะว่าไป Henry ดูมีสเน่ห์ในบท Solo มากกว่า Superman เสียอีก ขณที่ “Armie Hammer” หลังจากเรื่องอื่นมักโดนบดบังโดยนักแสดงร่วมมาตลอด เรื่องนี้พอจะแย่งซีนได้บ้างแล้ว (แม้ว่าช่วงต้นเรื่องจะยังโดนบดบังเหมือนเดิม) อาจเนื่องจากบท “Kuryakin” ดูมีปมอะไรให้เล่นได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นปมในวัยเด็ก และการได้เจอกับสิ่งแวดล้อมแบบใหม่จากที่อยู่กับสังคมคอมมิวนิสต์มาเกือบตลอด ที่สำคัญขาดไม่ได้นักแสดงหญิงหลักของเรื่อง “Alicia Vikander” ดูสวยมากในชุดและทรงผมยุค 60’s และเป็นตัวอย่างว่า ผู้หญิงในหนังสายลับไม่จำเป็นต้องไร้ประโยชน์และออกมาทำหน้าสวยอย่างเดียวเสมอไป
เป็นหนังสายลับที่ไม่ได้คาดหวังมาก จึงได้กลับมาเกินที่คาด คาแรกเตอร์ตัวละครและสไตล์การนำเสนอคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ The Man from U.N.C.L.E. โดดเด่น แม้มันอาจไม่ใช่ถึงกับหนังสายลับที่ชอบที่สุด แต่ก็ทำให้อยากดูการปฏิบัติภารกิจขององค์กรคุณลุงต่อในภาคต่อๆ ไป
ป.ล. U.N.C.L.E. นี่น่าจะเป็นองค์กรแรกๆ หรือเปล่า ที่นิยมตั้งชื่อย่อให้สามารถอ่านเป็นคำได้ ซึ่งต่อมาก็มีชื่อลักษณะนี้ในอีกหลายเรื่อง อาทิ S.H.I.L.D ของ Marvel หรือ H.I.V.E. ของ DC
หนังโปรดของข้าพเจ้า
The Man from U.N.C.L.E. (7.5/10)
ฉากเปิดเรื่องตอนสายลับ CIA ต้องพาหญิงสาวข้ามกำแพงเบอร์ลินโดยมีสายลับ KGB ตามขัดขวางนี่เป็นฉากไล่ล่าชิงไหวชิงพริบแบบเหนือจริงหน่อย ๆ ระดับ 5 ดาวเลย ทำให้เห็นว่าชั้นเชิงของสองตัวเอกสูสีชนิดกินกันไม่ลง จังหวะการตัดต่อดีมาก มุกที่ใช้ในการหลบหนีและพาตัวประกันข้ามฝั่งก็สนุกและสร้างสรรค์
——————————-
หนังพาคนดูย้อนไปยุค 60’s (ยุคเดียวกับสมัยฉายเป็นซีรี่ส์) เมื่อ ‘โซโล’ (Henry Cavill) สายลับฝั่งอเมริกา ต้องทำงานร่วมกับ ‘อิลยา’ (Armie Hammer) สายลับโซเวียต เพื่อเข้าถึงองค์กรอาชญากรรมที่กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรง โดยทั้งสองต้องใช้ ‘เกบี้’ (Alicia Vikander) เป็นนกต่อเพื่อเข้าหาสมาชิกในองค์กร
.
สิ่งที่โดดเด่นสุด ๆ ไปเลยคือเคมีความกวนตีนของโซโลและอิลยา เป็นคู่กัดที่สมน้ำสมเนื้อกันมาก ๆ ไม่ใช่คู่กัดที่มาแลกหมัดกันนะ แต่เป็นคู่กัดที่พยายามเกทับบลัฟข่มกันได้ทุกจังหวะ แล้วคาแรคเตอร์ของทั้งคู่มันก็ได้ฟีลมาก คนนึงชอบแหย่กวนตีนโชว์เหนือ อีกคนถึงจะนิ่งแต่การกระทำต่าง ๆ ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด พอมาจับคู่กันแล้วเกลี่ยบทให้ผลัดกันเหนือเลยรู้สึกว่าเคมีคู่นี้โคตรลงตัวจนทำให้รู้สึกว่าการเป็น buddy ชอบข่มใส่กันเป็นเสน่ห์ที่หาคู่ไหนมาเทียบยากจริง ๆ
.
ในส่วนบทหนังสายลับทำออกมาได้ตามมาตรฐานแบบหนังสายลับแฝงตัวทั่วไปควรจะเป็น บทสายลับไม่ใช่จุดขายเหมือน MI:5 ล่าสุด เหมือนใช้ความเป็นสายลับเพื่อเดินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานร่วมกันของทั้งคู่มากกว่า ทำให้เห็นว่าแม้คู่นี้จะดูไม่ถูกกันขนาดไหนแต่ก็คอยเป็นห่วงช่วยเหลือกันตลอด
.
ฉาก car chase ท้ายเรื่องวางตำแหน่งการไล่ล่าและเคลื่อนกล้องได้เยี่ยมเลย โดยเฉพาะการถ่ายมุมสูงเพื่อให้เห็นทางลัด เป็นฉากที่เล่นกับแรลลี่วิบากได้สร้างสรรค์มาก แค่ขับรถไล่ตามกันแต่ทำให้ดูสนุกด้วยการหาทางลัดย่นเวลาไม่ใช่จะมาโชว์พระเอกเหยียบคันเร่งมิดไมล์ลูกเดียว
.
ป.ล. เทียบกับหนังกาย ริชชี่เรื่องก่อน ๆ แล้วมันกวนตีนน้อยลงไปมาก (ใครเคยดู Snatch, RocknRolla คงจะเข้าใจสไตล์กวนตีนของกาย ริชชี่) แต่ยังดูสนุกเพลิน ๆ อยู่นะ