ดูหนัง Time Freak (2018)
หนุ่มสายฟิสิกส์สุดปราดเปรื่อง (เอซา บัตเตอร์ฟิลด์) ต้องช้ำรักเมื่อแฟนสาวของเขา (โซฟี เทอร์เนอร์) ขอเลิกด้วยเหตุผลว่าพฤติกรรมของเขาห่วยแตกเกินไป เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสร้างเครื่องไทม์แมชชีนขึ้นมาเพื่อกลับไปแก้ไขทุกสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดในอดีต เพื่อพิชิตใจเธออีกครั้ง สติลแมน นักเรียนฟิสิกส์อัจฉริยะ ถูกแฟนสาวทิ้ง และพยายามหาสาเหตุที่ทำให้เธอไม่มีความสุขและเลิกรากัน สติลแมนและอีวาน เพื่อนรักของเขา ทบทวนความสัมพันธ์ของพวกเขา และแยกวันต่างๆ ออกเป็นความทรงจำที่มีความสุขและแย่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหรือไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็บบี้เลิกรากับสติลแมนก็ได้ ท่ามกลางการเลิกรา สติลแมนคิดออกในที่สุดว่าจะสร้างเครื่องย้อนเวลาได้อย่างไร สติลแมนและอีวานย้อนเวลากลับไปในวันที่สติลแมนและเด็บบี้พบกัน สติลแมนวางแผนจะทำสิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไป และจะรู้ได้ว่าแผนนี้ได้ผลหรือไม่ หากข้อความสุดท้ายที่เด็บบี้ส่งไปหายไป จากนั้นอีวานและสติลแมนก็เดินทางไปดูหนังกับอีวาน สติลแมน เด็บบี้ คาร์ลี และไรอัน สติลแมนแสดงหนังเรื่องโปรดให้พวกเขาดู แต่พวกเขาไม่ชอบและล้อเลียนหนังเรื่องนั้น สติลแมนเริ่มอารมณ์เสียและดูถูกคาร์ลี พวกเขาย้อนเวลากลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อสถานการณ์เลวร้าย ในที่สุด สติลแมนก็แก้ไขสถานการณ์ในแบบที่เขาต้องการ โดยเด็บบี้มองเขาด้วยความรัก ต่อมาพวกเขานั่งอยู่ที่บ้านของเอวาน ซึ่งเอวานพยายามฝากข้อความถึงตัวเองในอนาคต เพื่อที่เขาจะได้ไม่สอบตกและสามารถสำเร็จการศึกษาได้
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Asa Butterfield เอซา บัตเตอร์ฟีลด์
Sophie Turner
Skyler Gisondo
ผู้กำกับ : Andrew Bowler
รีวิว Time Freak (2018)
beartai
หลังถูกบอกเลิกจากแฟนสาว สติลแมน (อาซา บัตเตอร์ฟิลด์) เลือกใช้ความรู้วิชาฟิสิกส์ของตนสร้างไทม์แมชชีนย้อนเวลาเพื่อแก้ไขและรักษาความสัมพันธ์ของเขากับ เดบบี้ (โซเฟีย เทอร์เนอร์) ให้กลับมาดีดังเดิม และเพื่อให้มีเพื่อนคู่คิดเขาจึงหนีบ อีแวน (สกายเลอร์ กีซอนโด) หนุ่มสายเขียวย้อนเวลาไปในอดีตที่เขาเคยทำผิดกับ เดบบี้ ไว้ โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่า ไทม์แมชชีน ฉบับ “สติลแมนประดิษฐ์” จะไว้ใจได้แค่ไหน
พลอตย้อนเวลากับเรื่องรักโรแมนติกไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่ เพราะมันเคยถูกสร้างเป็นหนังดังๆมากมายอย่าง Somewhere in Time (1980) หรือทวิภพฝรั่งที่เคยทำให้รุ่นพ่อรุ่นแม่เราเคลิ้มมาแล้ว หรือกระทั่งหนังโรแมนติกจากอังกฤษ About Time (2013) (เจ้าของเดียวกับ Love Actually (2003)) ที่ประทับใจใครหลายคนเมื่อไม่นาน และสำหรับ Time Freak ก็มีต้นธารมาจากหนังสั้นระดับชิงรางวัลออสการ์จากปี 2011 ของผู้กำกับ แอนดรู โบว์เลอร์ เองที่ใช้เวลาถึง 7 ปีกว่าหนังฉบับยาวจะได้ออกฉายในวันนี้ โดยขยายพลอตจากแค่การเดินทางย้อนเวลาไปเมื่อวานเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตหนุ่มเนิร์ดฟิสิกส์กลายเป็นการเดินทางเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แถมได้นักแสดงดาวรุ่งทั้ง อาซา บัตเตอร์ฟิลด์ จาก Ender’s Game (2013) และ The Space Between Us (2017) มาประกบคู่กับ โซเฟีย เทอร์เนอร์ จากซีรีส์ Game of Thrones และกำลังจะมีหนัง Dark Phoenix ออกฉายปี 2019 มาเป็นดาราเรียกแขก พ่วงด้วย สกายเลอร์ กีซอนโด ที่มีชื่อมาจาก Santa Clarita’s Diet ซีรีส์ของ Netflix ในบทตัวฮาของเรื่อง
โดย ยังคงประสบปัญหาแบบเดียวกับหนังที่พัฒนามาจากหนังสั้นที่มีพลอต ไฮคอนเซปต์ โดยเฉพาะการหาทางลงให้กับเรื่องราว ถ้าจำกันได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเรารีวิว KIN ซึ่งก็พัฒนาจาก “ความเจ๋ง” ของพลอตว่าด้วย ปืนเอเลี่ยน ที่แทนอำนาจมหาศาลของคนครอบครองก็ตกม้าตายเมื่อขยายมาเป็นหนังใหญ่ ซึ่ง ก็ไม่ต่างกันเพราะ “ความเจ๋ง” อย่างพลอตหนุ่มเนิร์ดฟิสิกส์สร้างไทม์แมชชีน กลับไปแก้ไขเรื่องแย่ๆเมื่อวาน แต่เพิ่มในส่วนของพลอตโรแมนติกว่าด้วยการกลับไปแก้ไขความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดก็กลายเป็นกับดักที่ทำให้ แอนดรู โบเลอร์ หนีไม่พ้นฉากคลีเช่ๆอย่างการกลับไปวันแรกที่ได้เจอกัน หรือการย้อนกลับไปมองเห็นตัวเองของพระเอกเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น (หรือเปล่า เพราะหนังไม่ได้เน้นในจุดนี้) และแก้ไขจุดผิดพลาด ซึ่งทำไปทำมาหนังกลับไม่อาจดึงคนดูให้คล้อยตามความรักของทั้งสติลแมนและเดบบี้ได้เลย เพราะหลังจากฉากเปิดเรื่องที่เดบบี้บอกเลิกสติลแมนในร้านกาแฟ หนังก็ไม่ได้ใส่ใจปูความสัมพันธ์ของทั้งคู่เท่าใดนัก ลำพังจะให้คนดูซึมซับจากจุดผิดพลาดของ สติลแมน หนังก็ดั๊นไม่ได้เลือกปัญหาความสัมพันธ์หรือจุดขัดแย้งใหญ่ๆหนักๆมากไปกว่า รสนิยมดูหนังไม่เหมือนกัน หรือ อาการหึงหวงของฝ่ายชาย โดยที่หนังแทบไม่ได้ให้เราเห็นทัศนคติความรักในฝั่งเดบบี้เท่าใดนัก มิหนำซ้ำคาแรกเตอร์เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเธอยังสร้างความรำคาญมากกว่าชวนให้เห็นใจอีกด้วย
VIDEO