นักแสดงนำและผู้กำกับ
- ซานา ลาธาน (Sanaa Lathan) รับบทเป็น อเล็กซา “เล็กซ์” วูดส์
- ราอูล โบวา (Raoul Bova) รับบทเป็น เซบาสเตียน เดอ โรซา
- แลนซ์ เฮนริคเซน (Lance Henriksen) รับบทเป็น ชาร์ลส์ บิชอป เวย์แลนด์: (เกร็ดน่ารู้สำหรับแฟนพันธุ์แท้) เขาคือนักแสดงคนเดียวกับที่รับบทเป็นหุ่นแอนดรอยด์ “บิชอป” ในเรื่อง Aliens (1986)!
- ผู้กำกับ: พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน (Paul W. S. Anderson) ผู้กำกับสายแอ็คชั่น-ไซไฟ เจ้าของผลงานอย่าง Mortal Kombat, Event Horizon, และแฟรนไชส์ Resident Evil
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
AVP คือหนังที่ทำหน้าที่ “Fan Service” ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็มีข้อบกพร่องที่น่าเสียดาย
- ส่วนที่ดี (The Good): การได้เห็น “เอเลี่ยน ปะทะ พรีเดเตอร์” บนจอใหญ่คือความฝันที่เป็นจริง! หนังเคารพดีไซน์ดั้งเดิมของอสูรกายทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ฉากการต่อสู้ระหว่างพวกมันทำออกมาได้ดุเดือดและน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นสิ่งที่แฟนๆ อยากเห็นและหนังก็มอบให้แบบจัดเต็ม
- ส่วนที่แย่ (The Bad): ปัญหาใหญ่ที่สุดของหนังคือการที่มันได้เรท PG-13 ซึ่งเป็นการ “ลดเกรด” ความโหด, ความสยอง, และความรุนแรงที่เป็นลายเซ็นของทั้งสองแฟรนไชส์ (ซึ่งเดิมเป็นเรท R) จนหมดสิ้น ทำให้หนังขาดความน่ากลัวและเลือดสาดที่แฟนๆ คาดหวัง นอกจากนี้ ตัวละครมนุษย์ในเรื่องก็ค่อนข้างแบนราบและน่าเบื่อ มีไว้เพื่อเป็นเหยื่อมากกว่าจะให้เราผูกพัน
โดยสรุปแล้ว ถ้าคุณคาดหวังจะได้เห็นสองอสูรในตำนานสู้กัน… คุณจะได้เห็นสมใจ แต่ถ้าคุณคาดหวังหนังที่จะมีความสยองขวัญระดับ Alien หรือความระทึกขวัญระดับ Predator คุณอาจจะต้องผิดหวัง
- IMDb: ให้คะแนน 5.7/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 22% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักวิจารณ์และแฟนพันธุ์แท้ส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวัง แต่หนังก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน Box Office เพราะคอนเซปต์ของมัน “ขายได้” ในตัวมันเอง
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
ฮ่าๆ นี่คือโปรเจคท์ในตำนานครับ เพราะมันว่าจะทำ – ไม่ทำมาเป็นสิบๆปีแล้ว จนในที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่างได้เพราะ Paul W.S. Anderson เจ้าของผลงาน Mortal Kombat, Event Horizon และ Resident Evil ครับ กับเรื่องนี้พี่แกเขียนบทและกำกับเอง (บทนี่ได้ Dan O’Bannon กับ Ronald Shusett ผู้ให้กำเนิดเรื่อง Alien มาช่วยคิดด้วย) ผมว่าการผูกเรื่อง ให้ 2 ตัวนี้มาเจอกันนี่ทำได้ดีและเข้าท่ากว่า Freddy Vs. Jason มากเลยนะคับ ก็เรื่องมันเริ่มที่ ชาร์ลส บิชอป เวย์แลนด์ (Lance Henriksen) นักธุรกิจรายใหญ่ได้พบปิรามิดที่ฝังอยู่ใต้น้ำแข็งที่แอนตาร์คติกจึงได้ฟอร์ มทีมสำรวจที่นั่น นำโดย อเล็กซ่า วูดส์ (Sanaa Lathan) นักปีนเขาที่ชำนาญการเดินทางบนน้ำแข็ง เมื่อพวกเขาได้ไปถึงก็พบว่าที่นี่เป็นสถานที่ๆเหล่าพรีเดเตอร์ใช้เพื่อต่อกร กับเอเลี่ยน จุดประสงค์ก็คือ หากพรีเดเตอร์ตนใดสามารถเอาชนะพวกเอเลี่ยนได้แล้ว ก็จะถือว่าบรรลุนิติภาวะ เป็นนักล่าตัวจริงได้ แต่ก็นั่นแหละ แล้วไอ้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ก็ต้องมาอยู่กลางสงครามของไอ้ 2 ตัวเนี่ย แล้วจะทำไงกันล่ะทีนี้ งานนี้ ต้องรอดครับ
ผมว่าผูกเรื่องได้เข้าท่าอ้ะ ไม่มีปัญหาเลย เพราะถ้าใครจำได้ (ซึ่งคงมีน้อยคนอ้ะนะ) ใน Predator 2 นั้น ในฉากท้ายๆภายในยานของพวกพรีเดเตอร์นั้น เราจะได้เห็นกระโหลกของสิ่งมีชีวิตที่พวกมันล่า และ 1 ในนั้นก็คือ กระโหลกของเอเลี่ยน ดังนั้นประเพณีนี้จึงทำใจรับได้ไม่ยากเย็นนัก ต่อมาการเดินเรื่องก็รวดเร็ว ฉับไว ตอนต้นๆโอเคอาจจะอืดมากไปหน่อย แต่พอเอเลี่ยนเจอกับพรีเดเตอร์แล้ว ความมันส์ก็มาไม่ยั้งครับ ตีกันตลอด แต่บอกตรงๆยังตีกันไม่สะใจเลยอ้ะ ยิ่งนางพญาเอเลี่ยนนั่น ยังไม่ถึงไหนเลย น่าจะตีกันนานๆหน่อย
อีกจุดที่ผมชอบคือ หนังพยายามผูกให้เรื่องเกี่ยวกับเอเลี่ยนตอนต่อๆไป (เพราะ ในเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหนังชุด Alien ครับ) นั่นคือ ตัวมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาร์ลส บิชอปนั่น คงจำได้นะครับว่า บิชอป คือชื่อของหุ่นที่ริปลี่ย์ไม่ไว้ใจใน Aliens และก็แสดงโดย Lance Henriksen เช่นกัน ซึ่งแม้หนังจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่แฟนๆเอเลี่ยนก็น่าจะรู้ครับว่าพี่แกนี่แหละเป็นคนสร้างและเป็นต้นแบบให้ กับหุ่นบิชอปที่ปรากฎตัวใน Aliens (ลองสังเกตมุขตอนที่พี่แกเอามือวางแล้วก็เอาปากกาทิ่มช่องว่างระหว่างนิ้ว เล่นสิครับ มุขเดียวกับที่ใช้ใน Aliens เลย) ก็ถือเป็นลูกเล่นเล็กๆที่แฟนหนังชุด Alien น่าจะชอบ
ส่วนพรีเดเตอร์ ก็ยังคงความเป็นนักล่าอย่างเต็มที่ รวมไปถึงมีกฎและมีความนับถือต่อผู้ล่าด้วยกันอีกด้วย ทำให้ตัวพรีเดเตอร์มีมิติครับ ถือเป็นอะไรที่ดีมากทีเดียว และผมชอบอ้ะที่เรื่องดำเนินไปแบบที่เป็น เพราะมันถือว่าเหมาะและแปลกใหม่ดีทีเดียว ทำให้เราได้รู้ว่าพรีเดเตอร์ไม่ได้บ้าฆ่าคนไปเรื่อย มันมีขอบเขตของมันอยู่ ส่วนเอเลี่ยนก็ไม่ได้เป็นแค่ไอ้ตัวน้ำลายยืดเท่านั้น มันฉลาดและเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็น เรียกว่า ทีมงานค่อนข้างศึกษาธรรมชาติของเจ้า 2 ตัวนี้มาอย่างถ่องแท้ทีเดียวและ ขอบอกครับ ว่าทำไมพรีเดเตอร์บางตัวโง่จัง ก็มันยังไม่บรรลุนิติภาวะนี่ครับ ยังเด็กและอ่อนประสบการณ์ ไม่เหมือนไอ้ตัวที่ตีกับพี่อาร์โนลด์นี่ฮะ ตัวนั้นน่ะมันผ่านมาหลายศึกแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นความฉลาดของคนเขียนบทเหมือนกันที่เอาพรีฯที่อ่อนประสบการณ์มา ใช้ ก็ถ้าเอาพรีเก่งๆมา หนังจะสนุกอะไรล่ะครับ แป๊บเดียวก็จบแล้วล่ะ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหนังเสิร์ฟฉากบู๊มากกว่านี้ คงดีไม่น้อยเลยล่ะ สรุป ว่าดูเอามันส์พอได้ครับ พอไหวนะ ผมออกจะชอบมากกว่า Freddy Vs. Jason อยู่นิดนึง ดูแบบไม่ต้องคิดมากครับ เอามันส์ อย่างเดียวพอ ก็เหมาะกับคอหนังของไอ้ 2 ตัวเนี้ยอ้ะคับ ถ้าชอบ 2 ตัวนี้ก็น่าจะสนุก แต่ถ้าดูแล้ว ไม่เคยชอบไอ้บ้า 2 ตัวนี้เลย ก็อย่าไปดูเลยครับ คาดว่าคงไม่ชอบขึ้นมาหรอก
kevin_robbins
⭐ 7/10
Alien vs. Predator (2004) เป็นหนังในคอลเลคชั่นดีวีดีที่ผมเพิ่งดูทาง Amazon Prime เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการสำรวจวิจัยที่เพิ่งค้นพบใต้ผืนน้ำแข็งหลายไมล์ ทีมวิจัยไม่รู้ว่าพีระมิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสนามล่าสัตว์สำหรับเหล่าพรีเดเตอร์ เพื่อทดสอบทักษะการล่ากับสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์…และเราไม่ได้พูดถึงมนุษย์ หนังเรื่องนี้กำกับโดย Paul W. S. Anderson (Event Horizon) และนำแสดงโดย Sanaa Lathan (Love & Basketball), Lance Henriksen (Pumpkinhead), Ewen Bremner (Rundown), Tommy Flanagan (Gladiator), Raoul Bova (Under the Tuscan Sun) เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างโอเคและเป็นการปูทางที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ผมชอบฉากและนักแสดงมาก ผมไม่เคยบ่นเรื่องหนังของ Lathan และ Henriksen เลย เอฟเฟกต์พิเศษยอดเยี่ยม ฉากฆ่าและฉากแอ็คชั่นก็ดีมาก ชอบการถ่ายทอดเรื่องราวของทั้งเอเลี่ยนและพรีเดเตอร์ การต่อสู้ระหว่างเอเลี่ยนกับพรีเดเตอร์นั้นยอดเยี่ยมมาก รวมถึงการผสมผสานระหว่างตัวละครกอดหน้าด้วย โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบไหม? ไม่เลย เนื้อเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย หนังเรื่องนี้คุ้มค่าแก่การรับชมและความบันเทิงไหม? แน่นอน ผมให้คะแนน 6.5-7/10 และแนะนำให้ดูอย่างยิ่ง
Fella_shibby
⭐ 7/10
นี่คือภาคแรกของแฟรนไชส์ Alien vs. Predator ที่นำเหล่าสัตว์ประหลาดจากซีรีส์ Alien และ Predator มารวมกัน ในภาคนี้ นักวิทยาศาสตร์ต้องตกเป็นเป้าโจมตีของสงครามโบราณระหว่าง Alien และ Predator ขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนีจากพีระมิดที่รกร้าง ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องรวดเร็ว เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นมากมาย พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษชั้นยอดและการออกแบบฉากที่น่าทึ่ง โชคดีที่กล้องไม่มีอาการสั่น ไม่มีแสงกระพริบ และแม้แต่ฉากที่ถ่ายในที่แสงน้อย เราก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ความมืดมากเกินไปทำให้ความสนุกลดน้อยลง ภาคนี้ไม่ได้มีแสงที่ไม่ดีนัก พวกเขาลดจำนวนมนุษย์ลงและลดฉากนองเลือดลง อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นสัตว์ประหลาดที่ดีทีเดียว ในแง่ของเลือด มันยังห่างไกลจาก Predator ฉบับดั้งเดิมอยู่มาก
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนว “อสูรกายปะทะอสูรกาย” เราขอแนะนำ:
- Freddy vs. Jason (2003): การปะทะกันของสองไอคอนแห่งหนังสยองขวัญ
- Godzilla vs. Kong (2021): ศึกชนช้างของสองไคจูในตำนาน
- Aliens vs. Predator: Requiem (2007): ภาคต่อที่พยายามจะแก้ตัวด้วยการเป็นหนังเรท R ที่โหดกว่าเดิม แต่กลับถูกวิจารณ์หนักยิ่งกว่าภาคแรก!
- Alien (1979) & Predator (1987): กลับไปดูต้นฉบับมาสเตอร์พีซของแต่ละเรื่องคือสิ่งที่ดีที่สุด!
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้โหดและน่ากลัวเท่า Alien หรือ Predator ภาคแรกๆ ไหม?
A: ไม่เท่าเลยครับ และนี่คือจุดที่ถูกวิจารณ์มากที่สุด หนังเรื่องนี้เป็นเรท PG-13 ทำให้ความรุนแรงและฉากสยองขวัญถูกลดทอนลงไปมาก มีความเป็นหนังแอ็คชั่น-ไซไฟมากกว่าหนังทริลเลอร์-สยองขวัญ
Q: ใครชนะระหว่าง Alien กับ Predator?
A: นั่นคือไฮไลท์ของเรื่องเลยครับ! ในเรื่องมีการต่อสู้กันหลายครั้งและมีผลแพ้ชนะที่แตกต่างกันไป คุณต้องไปดูด้วยตาตัวเองว่าสุดท้ายแล้วใครจะอยู่รอด แต่ที่แน่ๆ คือ “มนุษย์” ที่อยู่ตรงกลางคือผู้แพ้ที่แท้จริง!
Q: แลนซ์ เฮนริคเซน เป็นคนเดียวกับที่เล่นเป็น Bishop ในเรื่อง Aliens เหรอ?
A: ใช่แล้วครับ! นักแสดงคนเดียวกัน การนำเขากลับมารับบท “ชาร์ลส์ บิชอป เวย์แลนด์” ผู้ก่อตั้งบริษัทเวย์แลนด์ คือการคารวะต้นฉบับที่ยอดเยี่ยม และเป็นการบอกใบ้ว่าเขาอาจจะเป็น “ต้นแบบ” ของหุ่นแอนดรอยด์บิชอปในอนาคต
บทสรุป: Alien vs. Predator คือหนังป๊อปคอร์นที่ดูสนุกเพลินๆ และตอบสนองความฝันของแฟนๆ ได้ในระดับหนึ่ง มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดของทั้งสองแฟรนไชส์ แต่มันคือการครอสโอเวอร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและยังคงความบันเทิงได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้