ดูหนัง Back to the future 2 (1989) เจาะเวลาหาอดีต 2
ได้เวลากระโดดขึ้นรถเดอลอรีนและทะยานไปกับหนึ่งในไตรภาคภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลกับ Movie24HD ใน “Back to the Future Part II” (1989) หรือชื่อไทยที่ทุกคนจดจำได้ดี “เจาะเวลาหาอดีต 2” !
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์เริ่มต้นต่อจากตอนจบของภาคแรกทันที! มาร์ตี้ แม็คฟลาย (ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์) และแฟนสาว เจนนิเฟอร์ (เอลิซาเบธ ชู) กำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่แล้ว ดร. เอ็มเม็ตต์ “ด็อค” บราวน์ (คริสโตเฟอร์ ลอยด์) ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรถเดอลอรีนที่อัปเกรดใหม่จนบินได้ ด็อคบอกว่าพวกเขาต้องรีบเดินทางไปยัง “อนาคต” ในปี 2015 เพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของมาร์ตี้และเจนนิเฟอร์
เมื่อไปถึงโลกอนาคตในปี 2015 ที่เต็มไปด้วยรถบินได้, โฮเวอร์บอร์ด (สเก็ตบอร์ดลอยฟ้า) และเสื้อผ้าสุดล้ำ มาร์ตี้ได้ซื้อหนังสือ “สปอร์ตอัลมาแนค” ที่รวบรวมผลกีฬาทุกชนิดเอาไว้โดยคิดจะนำกลับไปทำเงินในยุคของตัวเอง แต่ความคิดนี้กลับนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่ เมื่อ บิฟฟ์ แทนเนน (โธมัส เอฟ. วิลสัน) ในวัยชราได้ขโมยหนังสือและไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปมอบมันให้กับตัวเองในวัยหนุ่มปี 1955 Back to the future 2
ผลลัพธ์คือประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมาร์ตี้และด็อคกลับมายังปี 1985 พวกเขาก็พบว่ามันได้กลายเป็นโลกคู่ขนานสุดเลวร้ายที่ถูกควบคุมโดยบิฟฟ์ผู้มั่งคั่งและทรงอิทธิพล ทั้งสองจึงต้องย้อนเวลากลับไปยังปี 1955 อีกครั้ง เพื่อขโมยหนังสือผลกีฬากลับคืนมาและแก้ไขประวัติศาสตร์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยต้องพยายามไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาคแรกที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน!
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงและผู้กำกับ
นักแสดงหลัก:
ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) รับบทเป็น มาร์ตี้ แม็คฟลาย, มาร์ตี้ แม็คฟลาย จูเนียร์ และ มาร์ลีน แม็คฟลาย
คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Christopher Lloyd) รับบทเป็น ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ (ด็อค)
โธมัส เอฟ. วิลสัน (Thomas F. Wilson) รับบทเป็น บิฟฟ์ แทนเนน และ กริฟฟ์ แทนเนน
ลีอา ธอมป์สัน (Lea Thompson) รับบทเป็น ลอร์เรน เบนส์-แม็คฟลาย
ผู้กำกับ:
โรเบิร์ต เซเม็กคิส (Robert Zemeckis)
โปสเตอร์หนัง
รีวิวภาพยนตร์
“Back to the Future Part II” คือภาคต่อที่กล้าหาญและทะเยอทะยานอย่างยิ่ง มันไม่ได้เดินตามรอยความสำเร็จของภาคแรก แต่มุ่งขยายจักรวาลและนำเสนอพล็อตที่ซับซ้อนและท้าทายผู้ชมมากขึ้น
พล็อตสุดซับซ้อนและสร้างสรรค์: การพาผู้ชมไปสำรวจทั้งโลกอนาคตและย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต (ที่เคยเกิดขึ้นในภาคแรก) พร้อมๆ กัน ถือเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมและล้ำสมัยมากในยุคนั้น มันทำให้การดูภาคแรกซ้ำอีกครั้งสนุกยิ่งขึ้นไปอีก
จินตนาการแห่งโลกอนาคต: โลกอนาคตปี 2015 ในหนังเรื่องนี้กลายเป็นภาพจำในวัฒนธรรมป๊อปไปตลอดกาล ทั้งโฮเวอร์บอร์ด, รองเท้า Nike ที่ผูกเชือกเองได้ และเทคโนโลยีโฮโลแกรม ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ชมในยุคนั้นตื่นตาตื่นใจ
โทนเรื่องที่ดาร์กขึ้น: ภาคนี้มีโทนที่จริงจังและมืดหม่นกว่าภาคแรก โดยเฉพาะเมื่อมาร์ตี้ได้เห็นโลกคู่ขนานอันน่าสิ้นหวัง ซึ่งเป็นการเพิ่มเดิมพันให้กับเรื่องราวได้อย่างดีเยี่ยม
คะแนนจากนักวิจารณ์: แม้จะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายกว่าภาคแรก แต่ก็ยังถือว่าเป็นภาคต่อที่ประสบความสำเร็จ ได้รับคะแนน 6.3/10 จาก IMDb และได้รับการยอมรับในภายหลังว่าเป็นภาคต่อที่กล้าหาญและชาญฉลาดเรื่องหนึ่ง
Captain_Couth
⭐ 7/10
Back to the Future Part II (1989) ได้รับไฟเขียวหลังจากความสำเร็จของภาคแรก ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวการผจญภัยของมาร์ตี้และด็อก บราวน์ ทั้งภาคนี้และภาคสามถ่ายทำติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของเนื้อเรื่องทำให้แฟนๆ หลายคนไม่ชอบภาคแรก แต่นี่คือสิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ แทนที่จะเป็นภาคต่อแบบเดิมๆ ผู้สร้างตัดสินใจทำสิ่งที่แตกต่างออกไป และทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ชวนขบคิด จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือคุณต้องใส่ใจกับมันให้มาก หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ด็อก บราวน์กลับมาจากอนาคตเพื่อช่วยมาร์ตี้พาลูกออกจากปัญหา แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพัง ทั้งสามคนกลับมุ่งหน้าไปสู่อนาคตเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ พวกเขาทำสำเร็จ แต่โชคร้ายที่มันพังทลายลงเพราะความโลภของมาร์ตี้และความพยายามสอดรู้สอดเห็นของด็อก บราวน์ ด็อกและมาร์ตี้จะสามารถฟื้นฟูห้วงเวลาและอวกาศให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างปลอดภัยก่อนที่จักรวาลจะล่มสลายหรือไม่? ภาคต่อที่สนุกสนานนี้มีการเปลี่ยนแปลงนักแสดงเล็กน้อย (ตอนนี้เอลิซาเบธ ชู รับบทเป็นแฟนสาวของมาร์ตี้ ขณะที่คริสปิน โกลเวอร์ไม่ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แล้ว ยกเว้นในฟุตเทจสต็อก) นักแสดงชุดเดิมส่วนใหญ่กลับมารับบทเดิมอีกครั้ง ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ พัฒนาฝีมือการแสดงของเขาด้วยการรับบทลูกชายและลูกสาว รวมถึงบทบาทในอดีต หากคุณชอบภาคแรก คุณคงอยากดูภาคนี้ (ถ้ายังไม่ได้ดู)
Smells_Like_Cheese
⭐ 9/10
ฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก ฉันเช่าหนัง Back to the Future ทั้งสามภาคมาฉายรวดเดียวเลย เลยไม่ต้องรอปีแล้วปีเล่า จริงๆ แล้วฉันเกิดปี 1985 เลยถือว่าดี แต่เอาเถอะ ฉันเพิ่งดูไตรภาค Back to the Future เมื่อคืน และหลังจากที่รู้สึกว่าฉันเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดูหนังพวกนี้ ฉันก็เลยดู! ภาคสองเป็นภาคต่อที่ดีมาก ถึงแม้จะไม่ได้เทียบเท่า Back to the Future ภาคแรก แต่มันก็เจ๋งดี เหมือนเดจาวูเลย มีเรื่องราวอีกแบบที่ลงตัว มาร์ตี้กับเจนนิเฟอร์เริ่มต้นจากภาคแรก ด็อกพาพวกเขาไปยังปี 2015 (ซึ่งตลกดีที่อีกแค่ 8 ปีก็จบแล้ว) แล้วด็อกก็บอกให้มาร์ตี้แก้ไขสถานการณ์กับลูกชายในอนาคตของเขา บิฟฟ์ได้ยินความคิดที่ด็อกหยิบยกขึ้นมาในภายหลังว่าอาจจะให้ทิปตัวเองเพื่อลุ้นเงินก้อนโตในอนาคตทันทีที่พวกเขากลับมา แต่ด็อกก็ห้ามไว้ แต่บิฟฟ์กลับมีแผนอื่น เขาเอาหนังสือและหนังสือ De Lauren กลับไปปี 1955 และทำให้ตัวเองกลายเป็นมหาเศรษฐีในปี 1985 ดังนั้นมาร์ตี้และด็อกจึงต้องกลับไปเปลี่ยนแปลงอนาคตให้กลับไปเป็นแบบเดิม ภาคสองคุ้มค่าแก่การดูสำหรับแฟนๆ Back to the Future อย่างแน่นอน และที่สำคัญคือมันดีที่ได้เห็นว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร อย่างที่บอกไป มันไม่ได้ดีเท่าภาคแรก แต่มันก็เป็นหนังที่ดี และจริงๆ แล้วดีกว่า 7.1 เล็กน้อย ถ้าถามผม แต่นั่นก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัว ลองให้โอกาสหนังเรื่องนี้ดูสิ คุณอาจจะชอบมันก็ได้
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณสนุกไปกับการเดินทางข้ามเวลาที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยจินตนาการ ลองหาเรื่องเหล่านี้มาชมต่อได้เลย:
Back to the Future Part III (1990) – เจาะเวลาหาอดีต 3 : บทสรุปของไตรภาค ที่ด็อคและมาร์ตี้ต้องเดินทางย้อนกลับไปสู่ยุคคาวบอยตะวันตก
Avengers: Endgame (2019) – อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก : ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ใช้พล็อตการเดินทางข้ามเวลาเพื่อแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้อย่างซับซ้อนและน่าตื่นเต้น
Looper (2012) – ทะลุเวลา อึดล่าอึด : หนังไซไฟ-แอ็คชั่นสุดเข้มข้นที่เล่นกับประเด็น Paradox ของการเดินทางข้ามเวลาได้อย่างชาญฉลาด
Q&A คำถามน่ารู้เกี่ยวกับหนัง
Q: สิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคตปี 2015 ในหนัง มีอะไรกลายเป็นจริงบ้าง?
A: มีหลายอย่างที่ใกล้เคียงความจริงครับ เช่น การวิดีโอคอล, การใช้โดรน, การใช้ลายนิ้วมือเพื่อยืนยันตัวตน, ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ ในปี 2016 บริษัท Nike ได้ผลิตรองเท้า Nike Mag ที่สามารถผูกเชือกเองได้จริงๆ ออกมาวางขายในจำนวนจำกัด ส่วนโฮเวอร์บอร์ดก็มีการพัฒนาขึ้นมาแต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ทั่วไปเหมือนในหนังครับ
Q: ทำไมเจนนิเฟอร์ถึงถูกเปลี่ยนตัวนักแสดงในภาคนี้?
A: คลอเดีย เวลส์ นักแสดงเดิมที่รับบทเจนนิเฟอร์ในภาคแรก ไม่สามารถกลับมารับบทเดิมได้เนื่องจากต้องดูแลคุณแม่ที่กำลังป่วยหนัก บทจึงตกเป็นของ เอลิซาเบธ ชู ซึ่งผู้สร้างได้ทำการถ่ายทำฉากจบของภาคแรกใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ต่อเนื่องกับภาค 2 ครับ
Q: หนังภาค 2 และ 3 ถ่ายทำพร้อมกันเลยใช่หรือไม่?
A: ใช่ครับ หลังจากความสำเร็จของภาคแรก ผู้สร้างได้ตัดสินใจสร้างภาค 2 และ 3 ต่อเนื่องกันไปเลย โดยถ่ายทำทั้งสองภาคติดกันเพื่อประหยัดเวลาและงบประมาณ และปล่อยฉายห่างกันเพียง 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในวงการภาพยนตร์