ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
- ผู้กำกับ: ทราวิส ไนท์ (Travis Knight)
- นักแสดงนำ:
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพรวม: หนัง Coming-of-Age ที่สวมเกราะ Transformers
“Bumblebee” คือการเปลี่ยนแปลงที่ชาญฉลาดและน่ายินดีที่สุดของแฟรนไชส์นี้ ผู้กำกับ ทราวิส ไนท์ (จาก Kubo and the Two Strings) ได้ลดสเกลของสงครามหุ่นยนต์ลง แต่ไปเน้นที่ “เรื่องราวและความสัมพันธ์” ของตัวละครแทน ซึ่งทำให้หนังมี “หัวใจ” และ “จิตวิญญาณ” ที่แฟรนไชส์หลักเคยขาดหายไป
หนังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังครอบครัว-ผจญภัยยุค 80s ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้าง) อย่างชัดเจน ทั้งบรรยากาศ, แฟชั่น, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เพลงประกอบ” ที่อัดแน่นไปด้วยเพลงฮิตในยุคนั้น
การแสดงของ เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ นั้นยอดเยี่ยมและเป็นธรรมชาติ เธอสามารถสร้างความผูกพันกับตัวละคร CG อย่างบัมเบิ้ลบีได้อย่างน่าเชื่อถือและน่าเอาใจช่วย นี่คือหนังที่พิสูจน์ให้เห็นว่าหนัง Transformers ก็สามารถมีเรื่องราวที่กินใจได้
คะแนนจากนักวิจารณ์:
- IMDb: 6.7/10
- Rotten Tomatoes: 91% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
Abdulxoxo
⭐ 6/10
เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ เขียนบทได้ยอดเยี่ยมทั้งอารมณ์ขันและตัวละคร ถือเป็นหนังทรานส์ฟอร์เมอร์สที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ฉากแอ็คชั่นยอดเยี่ยม ฉากระเบิดที่ไม่จำเป็นน้อยลง และการตัดต่อก็ยอดเยี่ยม มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ตัวละครถูกวาดออกมาได้อย่างดีและมีบุคลิกเฉพาะตัว Bumblebee เป็นตัวละครที่น่ารักมากๆ ในภาคนี้ และคู่หูสุดพลังของเขากับ Charlie ก็ลงตัวสุดๆ การแสดงก็ยอดเยี่ยม Hailee Steinfeld ได้รับการคัดเลือกนักแสดงมาอย่างดี และเธอก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม วิชวลเอฟเฟกต์ก็สวยงามจับใจ เพลงประกอบก็ยอดเยี่ยม มีเพลงคลาสสิกยุค 80s มากมายที่เข้ากับธีมของหนังได้เป็นอย่างดี โดยรวมแล้ว เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ทรานส์ฟอร์เมอร์ส เขียนบทได้ดี มีตัวละครที่เข้มข้น และสนุกมาก
paul_m_haakonsen
⭐ 6/10
ใช่แล้ว เหตุผลเดียวที่ผมนั่งดู ก็เพราะคนอื่นๆ ในครอบครัวอยากดู ผมเลยยอมไปดูด้วย ซึ่งผมต้องยอมรับว่าผมดีใจจริงๆ ที่ทำแบบนั้น เพราะภาคแยกของหนัง “Transformers” ฉบับคนแสดงเรื่องนี้คือที่สุดของแฟรนไชส์นี้ ใครจะไปรู้? หนังภาคแยกนี้ทำให้หนัง “Transformers” ทุกเรื่องต้องอายและเหนือกว่าหนังเรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เนื้อเรื่องในดีมาก มีอะไรบางอย่างสำหรับทุกคนในครอบครัว เพราะมีทั้งแอ็คชั่น ตลก ความรัก และการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว ทุกอย่างที่จำเป็นต่อความบันเทิงของทุกคนในครอบครัว สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดีก็คือการที่พวกเขาได้นักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาทต่างๆ ยกเว้นจอห์น ซีนา เพราะผมคงบอกไม่ได้ว่าเขาเหมาะกับบทนี้ในหนังเรื่องนี้ แต่นักแสดงคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับเลือกให้เล่นบทบาทและตัวละครของตัวเองได้อย่างลงตัว
หนังมีฉากแอ็คชั่นเยอะมาก และถ่ายทำออกมาได้อย่างงดงาม ในขณะที่หนังบางเรื่องในแฟรนไชส์หลักดูเหมือนจะเน้นไปที่การทำลายล้างและความรุนแรงแบบสุ่มมากกว่า และความจริงที่ว่ามีเนื้อเรื่องและพล็อตเรื่องเบื้องหลังที่เหมาะสมรองรับฉากแอ็คชั่น ทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งสนุกขึ้นไปอีก เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกอินไปกับบัมเบิลบีในหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ผมกลับไม่มีความรู้สึกหรือปฏิกิริยาแบบเดียวกันในภาพยนตร์หลายเรื่องที่ผ่านมา ที่จริงแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ทั้งหมด แทนที่จะปล่อยให้เราดูฉากระเบิดและฉากอลังการจาก CGI อย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณโตมากับการ์ตูนเรื่อง “Transformers” ในวัยเด็กเหมือนผม คุณควรหาเวลานั่งดู ปี 2018 นะ เพราะผู้กำกับ Travis Knight ถ่ายทอดออกมาได้ตรงใจจริงๆ
siderite
⭐ 8/10
ฉันไม่เคยเล่นของเล่นหรืออ่านการ์ตูนมาก่อน แต่ฉันดูหนัง Transformers มาครบทุกภาคแล้ว ตอนที่ออกฉาย ฉันรู้สึกเหนื่อยและพูดตรงๆ ว่าขยะแขยงกับคุณภาพของแฟรนไชส์นี้มาก ฉันเลยยอมแพ้ไป แต่หลังจากบล็อกเกอร์คนหนึ่งบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้กำกับโดย Bay และเป็นหนึ่งในหนัง Transformers ที่ดีที่สุด ฉันเลยตัดสินใจดูมัน สรุปคือ กลับมาสู่ฟอร์มเดิม ฉากแอ็คชั่นอยู่ในยุค 80 เอฟเฟกต์ดูเป็นเครื่องจักรมากขึ้น และใช้ CGI น้อยลง และตัวละครหลักเป็นเด็กสาว ฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับสิ่งที่แฟรนไชส์ควรจะเป็นตั้งแต่แรก แต่ด้วยจังหวะเวลา มันเลยน้อยเกินไปและสายเกินไป หลายคนก็ทำแบบเดียวกับฉัน แล้วก็ข้ามหนังไปเลย ในขณะที่บางคนไม่ชอบเพราะต้องการระเบิดลูกใหญ่และเอฟเฟกต์พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น พูดตามตรงแล้ว หนังก็ไม่ได้แปลกใหม่หรือสร้างแรงบันดาลใจเท่าไหร่นัก ใช้พล็อตเรื่องเดิมๆ ที่น่าเบื่ออย่าง “เด็กเจอเอเลี่ยนเป็นมิตร” และนำแสดงโดยเฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ซึ่งน่ารักมาก แต่การแสดงก็ดูธรรมดาไปหน่อย แถมตัวละครเพื่อนบ้านก็ไม่จำเป็นเลย สรุปคือ นี่น่าจะเป็นหนังเรื่องแรกในแฟรนไชส์นี้ มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด แต่ก็ดีกว่าหนังเรื่องล่าสุดในซีรีส์อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่แน่ใจว่าหนังจะพัฒนาไปในทิศทางไหนต่อจากนี้
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังไซไฟ-ผจญภัยที่มีหัวใจ เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
- E.T. the Extra-Terrestrial (1982) อี.ที. เพื่อนรัก: ตำนานหนังมิตรภาพระหว่างเด็กกับเพื่อนจากต่างดาว
- The Iron Giant (1999) หุ่นเหล็กเพื่อนยักษ์ต่างโลก: แอนิเมชันสุดคลาสสิกที่ว่าด้วยมิตรภาพระหว่างเด็กชายกับหุ่นยนต์ยักษ์
- Real Steel (2011) ศึกหุ่นเหล็กกำปั้นถล่มปฐพี: หนังดราม่า-หุ่นยนต์ที่ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อลูก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: จำเป็นต้องดู Transformers ภาคก่อนๆ มาก่อนหรือไม่?
A: ไม่จำเป็นเลย ทำหน้าที่เป็นทั้ง ภาคปฐมบท (Prequel) และ การรีบูทแบบหลวมๆ (Soft Reboot) ของแฟรนไชส์ สามารถดูเป็นหนังเดี่ยวๆ ได้เลยโดยไม่สับสน และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยดูแฟรนไชส์นี้มาก่อนด้วยซ้ำ
Q: ทำไมดีไซน์ของหุ่นยนต์ในเรื่องถึงดูแตกต่างจากภาคอื่นๆ?
A: เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการจะคารวะดีไซน์ดั้งเดิมของ Transformers จาก การ์ตูนยุค 80s (Generation 1) ครับ ซึ่งทำให้หุ่นยนต์มีดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย, คลาสสิก, และจดจำได้ง่ายกว่าเวอร์ชันของผู้กำกับ ไมเคิล เบย์
Q: หนังเหมาะกับผู้ชมกลุ่มไหน?
A: เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวครับ! หนังลดระดับความรุนแรงและมุกตลกสำหรับผู้ใหญ่ลงจากภาคหลัก และเน้นไปที่เรื่องราวที่อบอุ่นหัวใจ ทำให้เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี