ดูหนัง Caddyshack (1980) แคดดี้แชค
ขอเอาใจคอหนังตลกรุ่นใหญ่ ชวนมาย้อนรำลึกถึงหนึ่งในภาพยนตร์คอเมดี้สุดคลาสสิกที่ยังคงความฮาแบบไร้ขีดจำกัดกับ “Caddyshack” (1980) หรือในชื่อไทยสั้นๆ ว่า “แคดดี้แชค”
เรื่องย่อ
เรื่องราวสุดป่วนเกิดขึ้นที่ “บุชวูด คันทรี คลับ” สนามกอล์ฟสุดหรูสำหรับชนชั้นสูง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ แดนนี่ นูแนน (ไมเคิล โอคีฟ) เด็กหนุ่มแคดดี้ (คนแบกถุงกอล์ฟ) ที่พยายามหาทางเอาใจสมาชิกเพื่อชิงทุนการศึกษา
แต่ความสงบสุขของสนามกอล์ฟแห่งนี้กำลังจะหมดไป เมื่อมหาเศรษฐีปากจัดผู้ไร้มารยาทอย่าง อัล เชอร์วิก (ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์) เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่และสร้างความวุ่นวายไปทั่ว ทำให้เขาต้องกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ผู้พิพากษา สเมลส์ (เท็ด ไนท์) สมาชิกขาใหญ่ผู้เย่อหยิ่งและยึดมั่นในกฎระเบียบแบบสุดๆ
เรื่องราวยิ่งอลหม่านมากขึ้นด้วยการปรากฏตัวของ ไท เวบบ์ (เชฟวี่ เชส) เพลย์บอยหนุ่มทายาทเจ้าของสนามกอล์ฟผู้เก่งกาจแต่แสนขี้เล่น และที่ขาดไม่ได้คือ คาร์ล สแป็คเลอร์ (บิล เมอร์เรย์) คนดูแลสนามสุดเพี้ยนที่หมกมุ่นกับการทำสงครามส่วนตัวเพื่อไล่ล่าตัวตุ่นจอมทำลายสนาม!
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงและผู้กำกับ
นักแสดงหลัก:
เชฟวี่ เชส (Chevy Chase) รับบทเป็น ไท เวบบ์
ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ (Rodney Dangerfield) รับบทเป็น อัล เชอร์วิก
เท็ด ไนท์ (Ted Knight) รับบทเป็น ผู้พิพากษา เอลิฮู สเมลส์
บิล เมอร์เรย์ (Bill Murray) รับบทเป็น คาร์ล สแป็คเลอร์
ไมเคิล โอคีฟ (Michael O’Keefe) รับบทเป็น แดนนี่ นูแนน
ผู้กำกับ:
แฮโรลด์ รามิส (Harold Ramis) (ผู้กำกับ Groundhog Day และผู้รับบท “อีกอน” ใน Ghostbusters )
โปสเตอร์หนัง
รีวิวภาพยนตร์
“Caddyshack” คือภาพยนตร์ตลกในตำนานที่อาจจะมีพล็อตเรื่องเบาบาง แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของ “ตัวละคร” และ “มุกตลก” ที่น่าจดจำ จนกลายเป็นหนังคัลท์คลาสสิกที่ทรงอิทธิพล
การรวมตัวของสุดยอดดาวตลก: หนังเรื่องนี้คือการนำ 4 ดาวตลกแห่งยุคมาปล่อยของกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ ที่ทุกประโยคของเขาคือมุกตลกแบบ One-liner และ บิล เมอร์เรย์ ที่ด้นสดบทพูดของตัวเองเกือบทั้งหมด จนสร้างคาแรคเตอร์คนดูแลสนามสุดเพี้ยนที่น่าจดจำที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังตลก
มุกตลกไร้ขีดจำกัด: หนังเต็มไปด้วยมุกตลกสไตล์สแล็ปสติก (ตลกเจ็บตัว) และมุกตลกเสียดสีชนชั้นสูงที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ใดๆ ซึ่งเป็นลายเซ็นของหนังตลกจากทีมงาน National Lampoon
หนังตลกที่ด้นสดเป็นส่วนใหญ่: เสน่ห์ของหนังมาจากการที่นักแสดงหลักหลายคนด้นสดบทพูดและสถานการณ์กันหน้ากองถ่าย ทำให้เกิดมุกตลกที่เป็นธรรมชาติและคาดเดาไม่ได้
คะแนนจากนักวิจารณ์: แม้ในช่วงแรกที่ออกฉายจะได้รับเสียงวิจารณ์กลางๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังเรื่องนี้ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รับคะแนน มะเขือเทศสด 72% จาก Rotten Tomatoes และ 7.2/10 จาก IMDb และถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลโดยหลายสถาบัน
funkyfry
⭐ 7/10
ใช่ เรื่องนี้ยังคงความสมจริงอยู่ อาจเป็นเพราะฉากแอ็คชั่นเน้นไปที่ประเด็นเหนือจริง (สำหรับหนังตลก) ของกอล์ฟ ซึ่งเป็นหัวข้อที่อาจจะไม่ได้ล้อเลียนได้สำเร็จมากเท่านี้มาก่อนที่เอ็ดดี้ แคนเตอร์จะแสดงใน “Kid Boots” (ผมเข้าใจถูกไหมเนี่ย?) ในการแข่งขันตลกระหว่างเมอร์เรย์ เชส และแดนเจอร์ฟิลด์ ขอบอกเลยว่าเชสไม่ได้ชนะ แดนเจอร์ฟิลด์โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดบทพูดสุดคลาสสิกของเขา (“เนื้อนี่เหนียวจนเห็นเลยว่าจ๊อกกี้ขี่อยู่ตรงไหน”) ได้อย่างเฉียบขาด แถมยังเล่นบทเพี้ยนๆ ได้อย่างแนบเนียน (ชวนให้นึกถึงปีเตอร์ เซลลาร์ส ใน “The Party”) ได้อย่างเต็มภาคภูมิ เมอร์เรย์นี่แหละที่หยุดทุกความตลกไว้ได้ เขาพึมพำบทพูดของเขาเพื่อเน้นย้ำ (?) และวิ่งแข่งรอบสนามอย่างบ้าคลั่งราวกับคลั่งไคล้ มุกตลกหลายมุกก็ดูไม่เข้าท่า แต่พอหนังเรื่องนี้เข้าฉาย มันก็จะยิ่งอินจนอดไม่ได้ที่จะเรียกมันว่าหนังคลาสสิก
sme_no_densetsu
⭐ 7/10
หลังจากความสำเร็จของ “National Lampoon’s Animal House” เมื่อสองสามปีก่อน ฮาโรลด์ รามิส และ ดั๊ก เคนนีย์ ก็กลับมาผงาดอีกครั้งในหนังตลกคลาสสิกเรื่องนี้ ที่นำพาเหล่าคนขี้แพ้มาปะทะกับเหล่าคนหัวสูงอีกครั้ง นักแสดงยอดเยี่ยมมาก เชฟวี เชส โชว์ฝีมืออย่างถึงที่สุดในฐานะนักกอล์ฟไท เว็บบ์ บิล เมอร์เรย์ ก็น่าจดจำไม่แพ้กันในบทคาร์ล สแพคเลอร์ ผู้ช่วยผู้ดูแลกรีนผู้บ้าคลั่ง ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ รับบทเป็นตัวเองได้อย่างน่าขบขันอย่างคาดเดาได้ และเท็ด ไนท์ ก็มาปิดท้ายด้วยนักแสดงที่เล่นได้อย่างมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เนื้อเรื่องยืดยาวแต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร มุกตลกและการโต้ตอบกันระหว่างนักแสดงคือหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่รู้ว่ามีการแสดงด้นสดมากมายในกองถ่าย ฉากเดียวที่เชฟวี เชส และ บิล เมอร์เรย์ แสดงร่วมกันนั้นยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เชื่อมโยงกันมากกว่านี้น่าจะส่งผลดีต่อหนังเรื่องนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ นั่นคือดนตรี เพลง “Songs by Kenny Loggins” ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อนเลย ถึงอย่างนั้น “I’m Alright” ก็ไม่ได้แย่อะไร อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่าผู้สร้างภาพยนตร์จะดึงตัว Elmer Bernstein มาดูแลดนตรีประกอบภาพยนตร์เหมือนที่เขาทำใน “Animal House” เสียอีก สุดท้ายแล้ว ผมให้ “Animal House” ภาคต้นมาทำหนังได้เปรียบกว่าภาคก่อนๆ มาก แต่ภาคนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร น่าเสียดายที่ Doug Kenney ไม่ได้อยู่จนถึงสิ้นปี ไม่งั้นเราคงได้เห็นหนังตลกระดับนี้อีกในช่วงยุค 80
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบความฮาแบบไร้กฎเกณฑ์ของ “Caddyshack” ลองหาเรื่องเหล่านี้มาชมต่อได้เลย:
Animal House (1978) – แก๊งแสบ แอบซ่าส์ : หนังตลกสุดป่วนในรั้วมหาวิทยาลัยจากทีมผู้สร้างเดียวกัน ที่ถือเป็นต้นแบบของหนังตลกแนวนี้
Stripes (1981) – บิล เมอร์เรย์ นักฆ่ากระสุนไม่ได้แอ้ม : อีกหนึ่งผลงานสุดฮาของ บิล เมอร์เรย์ และผู้กำกับ แฮโรลด์ รามิส ในรั้วทหาร
Happy Gilmore (1996) – แฮปปี้ กิลมอร์ นักกอล์ฟจอมซ่า : หนังตลกของอดัม แซนด์เลอร์ ที่มีฉากหลังเป็นกีฬากอล์ฟและเต็มไปด้วยความป่วนไม่แพ้กัน
Q&A คำถามน่ารู้เกี่ยวกับหนัง
Q: ฉากของ บิล เมอร์เรย์ และ เชฟวี่ เชส เป็นการด้นสดทั้งหมดจริงหรือไม่?
A: ใช่ครับ! ตามบทดั้งเดิม ตัวละครของทั้งสองคนไม่มีฉากที่ต้องแสดงร่วมกันเลย แต่ผู้กำกับเห็นว่าเป็นการน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นสองดาวตลกแห่งรายการ Saturday Night Live มาปะทะกัน เขาจึงเรียกทั้งสองคนมาที่กองถ่ายและให้ด้นสดฉาก “เยี่ยมบ้าน” ของคาร์ลขึ้นมาทั้งหมด ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในฉากที่คลาสสิกที่สุดของเรื่อง
Q: ตัวตุ่นในเรื่องเป็นตัวอะไรกันแน่?
A: จริงๆ แล้วมันคือตัวโกเฟอร์ (Gopher) ครับ แต่ถูกแปลเป็นตัวตุ่นในบริบทของไทย ตัวละครโกเฟอร์จอมกวนที่เต้นรำได้ กลายเป็นมาสคอตของหนังและเป็นที่รักของผู้ชมจำนวนมาก
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงกลายเป็น “คัลท์คลาสสิก”?
A: เพราะมันเป็นหนังที่ไม่พยายามจะสั่งสอนหรือมีแก่นสาระอะไรลึกซึ้ง แต่มุ่งเน้นการสร้างเสียงหัวเราะจากคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำและบทพูดที่คมคายจนกลายเป็นคำคม (“It’s in the hole!”, “So I got that goin’ for me, which is nice.”) ผู้ชมสามารถกลับมาดูซ้ำได้เรื่อยๆ เพื่อเก็บรายละเอียดมุกตลกที่อาจพลาดไปในครั้งแรก จึงทำให้มันเป็นที่รักและถูกพูดถึงมาตลอด 40 กว่าปี