ดูหนัง Call Me by Your Name (2017) เอ่ยชื่อคือคำรัก
นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “Call Me by Your Name” (2017) หรือ “เอ่ยชื่อคือคำรัก” ภาพยนตร์รักขึ้นหิ้งที่งดงามและแสนประทับใจ ซึ่งครองใจผู้ชมและนักวิจารณ์มาแล้วทั่วโลก
เรื่องย่อ
ณ ชนบทอันงดงามทางตอนเหนือของอิตาลี ในฤดูร้อนปี 1983 เอลิโอ (ทิโมธี ชาลาเมต์) หนุ่มน้อยวัย 17 ปีผู้เปี่ยมพรสวรรค์และกำลังค้นหาตัวเอง ได้พบกับ โอลิเวอร์ (อาร์มี แฮมเมอร์) นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันผู้มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ที่เดินทางมาเป็นผู้ช่วยงานวิจัยของพ่อเขา
ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ของการพักร้อน การปั่นจักรยานไปตามทุ่งหญ้า การว่ายน้ำในลำธารใส และการสนทนาอันชาญฉลาด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ค่อยๆ ถักทอขึ้นอย่างช้าๆ จากความรู้สึกแปลกหน้า สู่ความสนใจ และเบ่งบานเป็นความรักครั้งแรกที่ลึกซึ้งและทรงพลัง มันคือเรื่องราวการก้าวผ่านวัย (Coming-of-Age) ที่เล่าถึงความสุข ความปรารถนา และความเจ็บปวดอันงดงามของความรักในช่วงเวลาสั้นๆ ของฤดูร้อนที่น่าจดจำ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
“Call Me by Your Name” ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่เป็นประสบการณ์ทางความรู้สึกที่ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ ได้รับการยกย่องอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ดีที่สุดตลอดกาล ⭐ 8/10 มีหลายฉากในหนังเรื่องนี้ที่ติดตรึงอยู่ในใจผม ซึ่งส่วนใหญ่คงถูกพูดถึงจนเบื่อแล้ว (ฉากพ่อ ฉากลูกพีช ฉากที่มีความสุขสุดเหวี่ยงกับการนั่งอ่านหนังสือ ว่ายน้ำ และทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่มีคนดูแล) ในฐานะชาวอเมริกัน ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ติดตรึงอยู่ในใจผมคือปฏิกิริยาของพ่อแม่ที่มีต่อรสนิยมทางเพศของลูกชาย ผมไม่ได้หมายถึงการรักร่วมเพศของเขา ผมหมายถึงรสนิยมทางเพศโดยรวม แม้ว่าตัวละครหลักส่วนใหญ่จะเป็นชาวอเมริกัน แต่พวกเขาทั้งหมดก็มีความรู้สึกแบบยุโรป ซึ่งหาได้ยากในอเมริกา เราอาจเถียงได้ว่าตัวหนังเองอาจจะกำลังวิพากษ์วิจารณ์สังคมเกี่ยวกับมุมมองเรื่องเพศแบบเปิดเผยและตรงไปตรงมาของชาวยุโรป เทียบกับมุมมองแบบอเมริกันที่จำกัดศีลธรรม อย่างแรก พ่อแม่เห็นว่าลูกชายชอบผู้ชาย พวกเขาจึงทำสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมความสนใจนั้น โดยให้ลูกๆ ไปเที่ยวด้วยกันตามลำพัง พวกเขายังปล่อยให้เอลิโอและโอลิเวอร์มีพื้นที่ส่วนตัวในบ้าน พวกเขาไม่ได้คอยจับตาดูเอลิโอหรือ “คอยเช็คเขา” ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ประการที่สอง พ่อแม่คอยอยู่เคียงข้างเอลิโอเสมอ คอยช่วยเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ เขาสามารถพูดกับพ่อแม่ออกมาดังๆ ได้ว่า “ผมไม่มีทางเปิดเผยได้ขนาดนั้นหรอก” ซึ่งเป็นคำพูดที่เปราะบางที่ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเคยพูดกับพ่อแม่แบบนี้มาก่อน พวกเขาเพียงแค่ปลอบใจเขา ไม่ได้จู้จี้หรือสั่งสอนเขาเรื่องเพศสัมพันธ์ แน่นอนว่ามีฉากที่พ่อกำลังพูดถึงอดีตและความต้องการทางเพศของตัวเองอย่างเปิดเผยและปราศจากการตัดสิน ซึ่งเป็นตัวอย่างของพฤติกรรมเช่นนี้ ประการที่สาม ผู้ใหญ่ในภาพยนตร์ปฏิบัติต่อเอลิโออย่างเคารพในเรื่องเพศสัมพันธ์ของเขา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเอลิโอทักทายคู่รักเกย์รุ่นพี่กับมาร์เซีย แล้วรีบจูบและลูบหัวเธออย่างรักใคร่ ผู้ใหญ่ก็จะทักทายเธออย่างเป็นผู้ใหญ่และทักทาย ไม่มีใครพูดว่า “โอ้โห! คุณมีแฟนแล้ว!!!!!!!!” ในอเมริกา ผมพบว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใหญ่จะพูดจาหยอกล้อและ “พูดเล่น” เยาะเย้ยเกี่ยวกับ “การแอบชอบใครสักคนมันน่ารักแค่ไหน” ให้กับวัยรุ่น การสั่งสอนแบบนี้อาจทำให้วัยรุ่นจมอยู่กับความคิดว่าพวกเขากำลังทำอะไรผิด ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังทำสิ่งที่เป็นธรรมชาติ การเห็นผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อเอลิโออย่างเคารพและเป็นมิตร เหมือนกับผู้ใหญ่รุ่นเยาว์ที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมองว่าเพศสัมพันธ์เป็นเพียงหนึ่งในประสบการณ์เชิงบวกที่เป็นธรรมชาติมากมาย ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความหวัง ความอิจฉา และความรู้สึกที่แรงกล้าเกี่ยวกับความเป็นพ่อแม่ที่ควรจะเป็นเมื่อมีลูกวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะเดินออกจากหนังแล้วคิดว่า “หนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนแปลงหรือหล่อหลอมวิธีที่ฉันอยากใช้ชีวิต” แต่สำหรับเรื่องนี้แล้ว สำหรับฉันแล้ว สุดท้าย ฉันคิดว่าเราอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งที่เรามองย้อนกลับไปในยุค 80s ด้วยความรู้สึกคิดถึงอย่างลึกซึ้ง ถึงช่วงเวลาที่เด็กๆ สามารถเป็นเด็กได้ ขี่จักรยานไปทุกที่ ได้ผจญภัย กลับบ้านกินข้าวเย็น แล้วก็ออกไปผจญภัยโดยไม่มีคนดูแลอีกต่อไป Stranger Things, It และหนังเรื่องนี้ ล้วนสะท้อนถึงความรู้สึกคิดถึงนั้นได้อย่างแท้จริง แม้จะแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตาม ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าไพเราะมาก โดยเฉพาะเพลงของ Sufjan ที่โดดเด่นและกินใจอย่างเหลือเชื่อ Visions of Gideon เปรียบเสมือนเพลงที่สะเทือนอารมณ์อย่างที่สุด ดนตรีประกอบช่วยเสริมบรรยากาศของภาพยนตร์ให้อบอุ่นและสงบสุข เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ดูหนังเกี่ยวกับผู้ชายสองคนที่ความสัมพันธ์ไม่ได้จบลงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตหรือพ่อแม่โกรธแค้น ไม่มีอะไรจะบรรยายได้ เวลาคือตัวร้ายในเรื่องนี้ และฉันคิดว่านั่นยิ่งทำให้เรื่องราวยิ่งน่าเศร้ามากขึ้นไปอีก หากคุณประทับใจใน “Call Me by Your Name” คุณอาจหลงรักภาพยนตร์เหล่านี้เช่นกัน: Q: ความหมายของชื่อเรื่อง “Call Me by Your Name” คืออะไร? A: มันเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ครับ มาจากประโยคที่โอลิเวอร์พูดกับเอลิโอเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมขั้นสูงสุด ที่ตัวตนของคนสองคนแทบจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนสามารถเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อของตัวเองได้ Q: ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือใช่หรือไม่? A: ใช่ครับ สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันในปี 2007 เขียนโดย อังเดร เอซิแมน (André Aciman) ซึ่งมีเนื้อหารายละเอียดและความคิดในใจของเอลิโอที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก Q: ฉากที่น่าจดจำที่สุดของเรื่องคือฉากไหน? A: หลายคนยกให้ฉากบทสนทนาระหว่างเอลิโอกับพ่อของเขาในช่วงท้ายเรื่อง เป็นฉากที่น่าจดจำที่สุด เพราะมันคือบทเรียนที่สวยงามเกี่ยวกับการยอมรับความเจ็บปวดจากความรัก และการโอบกอดทุกความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งเป็นฉากที่ให้กำลังใจและเยียวยาจิตใจของทั้งตัวละครและผู้ชมได้เป็นอย่างดี Q: หนังเรื่องนี้ถ่ายทำที่ไหน? A: ถ่ายทำในแคว้นลอมบาร์เดีย ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยเน้นที่เมืองเครมา (Crema) และบริเวณโดยรอบ ซึ่งทิวทัศน์ที่สวยงามของสถานที่จริงมีส่วนอย่างมากในการสร้างบรรยากาศที่น่าหลงใหลให้กับภาพยนตร์นักแสดงและผู้กำกับ
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพยนตร์
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Q&A คำถามน่ารู้เกี่ยวกับหนัง
