ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
ผู้กำกับ: แซม ไรมี (Sam Raimi)
นักแสดงนำ:
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง
รีวิวภาพรวม: หนังฮีโร่-สยองขวัญที่สไตล์จัดจ้าน
“Darkman” คือภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยลายเซ็นของ แซม ไรมี อย่างแท้จริง หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่บ้าคลั่ง, มุมกล้องที่หวือหวา, และการผสมผสานระหว่างความตลกร้ายกับความน่าสะพรึงกลัวได้อย่างลงตัว มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนสยองขวัญในยุคเก่า
การแสดงของ เลียม นีสัน ในบทบาทที่ทั้งน่าสงสารและน่ากลัวนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาถ่ายทอดความเจ็บปวดและความบ้าคลั่งของตัวละครออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ ฉากที่เขาค่อยๆ สูญเสียการควบคุมตัวเองนั้นทำออกมาได้อย่างทรงพลัง
แม้ว่าสเปเชียลเอฟเฟกต์ในบางฉากอาจจะดูเก่าไปบ้างตามกาลเวลา แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และสไตล์การกำกับที่ไม่เหมือนใคร ก็ทำให้ “Darkman” ยังคงเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ (หรือแอนตี้ฮีโร่) ที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่รักของแฟนๆ มาจนถึงปัจจุบัน
คะแนนจากนักวิจารณ์:
IMDb: 6.4/10
Rotten Tomatoes: 84% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
หมื่นทิพ
ถ้าพูดถึงชื่อของ Sam Raimi ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักน่ะนะครับ ก็เป็นที่รู้กันนะครับว่าเขาแจ้งเกิดจริงจังเป็นเรื่องราวตอนทำ The Evil Dead 3 ภาค แล้วชื่อเขาก็ลุ่มบ้างดอนบ้างเรื่อยมาจน Spider-Man นี่แหละที่ทำให้ชื่อเขาเป็นที่จดจำ แต่ระหว่างนั้นนะครับ เขาก็ทำหนังอยู่เยอะ และจะว่าไปหนังของเขาก็ดีๆ หลายเรื่อง สนุกบ้าง เข้มข้นบ้าง ตามอัตภาพนะครับ (นั่นหมายถึงเรื่องที่ไม่หนุกก็มีเหมือนกัน) และสำหรับเรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนังสนุกของเขาอีกเรื่องหนึ่ง Darkman เล่าถึงนายเพย์ตัน เวสท์เลค (Liam Neeson) นักวิทยาศาสตร์ที่กำลังค้นคว้าเพื่อที่จะประดิษฐ์เนื้อเยื่อสังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนจะกำลังถึงทางตันครับเพราะเนื้อที่ว่าน่ะสร้างขึ้นมาได้ แต่กลับคงอยู่ได้เพียง 99 นาทีเท่านั้น ก่อนจะสลายตัวไป เขาก็นั่งหานั่งเพียรเพื่อจะได้คำตอบมาว่าจะทำยังไงให้เนื้อเยื่อพวกนี้คงทนถาวรได้ เพราะหากทำเสร็จนี่มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลยนะครับ คิดดูคนที่เสียโฉมก็จะมีใบหน้าใหม่ รวมไปถึงการสร้างอวัยวะใหม่อีกด้วย
แล้วด้วยความพยายาม ในวันหนึ่งเนื้อเยื่อก็ทำท่าว่าจะคงรูปครับ แต่ก็เหมือนตลกร้าย ที่เขาดันโดนจอมวายร้ายของเมืองอย่างโรเบิร์ต จี ดูแรนท์ (Larry Drake) กับพรรคพวกมาถล่มห้องแล็ปจนพังยับ ซ้ำยังฆ่าผู้ช่วยของเขาพร้อมทั้งระเบิดที่ทำงานจนแหลก ส่วนตัวเขาเองก็หนีไม่ทันครับเลยโดนแรงระเบิดอัดจนร่างกายไหม้ไฟแบบไม่เหลือดี เสียผิวหนังเกือบหมด หมอก็ลงความเห็นแล้วว่าเขาไม่น่ารอด แต่แล้วจะด้วยความแค้น ความโกรธหรือฮอร์โมนอะไรก็ตาม มันทำให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทวงความเป็นธรรมและสืบหาความจริงว่าไอ้พวกดูแรนท์มาทำร้ายเขาทำไม ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับพวกนั้นเลย แล้วในที่สุดเขาก็อาศัยสมองอันล้ำเลิศ กับงานวิจัยเนื้อเยื่อของเขาในการประดิษฐ์หน้ากากเทียมขึ้นมา โดยทำการปลอมเป็นคนรอบตัวของดูแรนท์เพื่อทำให้มันฆ่ากันเอง และในที่สุดก็สืบหาตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยสาวคนรักของเขาให้พ้นจากอันตราย
เขาได้หรือไม่ไม่บอกครับ บอกแค่ว่ามันมีภาคต่ออีกสองตอน (5555) แต่สำหรับเรื่องราวภาคแรกนี่ก็จบในตอนครับ ไม่ได้เป็นไตรภาคแบบต่อเรื่องแบบนั้นหรอก สมัยเด็กนั้นผมนึกว่านี่เป็นหนังน่ากลัวนะ คือหน้าปกมันก็แปร่งแล้วล่ะครับ ฮีโร่แบบนี้ทำท่าจะมาจากนรกยังไงก็ไม่รู้ แต่มันก็อยากดู เพราะชื่อมันบอกว่า Darkman แล้วมันก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์อ้ะ เห็นชื่อหนังเรื่องไหนลงท้ายว่า Man ทีไรมันจะคิดว่านี่ต้องเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แน่นอน ตอนเด็กเลยกล้าๆ กลัวๆ ครับ จนพอฮึดลองเอามาดูปุ๊บก็ประหลาดดีไอ้ฮีโร่คนนี้ ไม่มีหน้า เปลี่ยนหน้าตีกับผู้ร้ายไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรซักอย่าง บินก็ไม่ได้ แล้วมิหนำซ้ำตัวร้ายยังออกแนวโรคจิตชอบสะสมนิ้วคนอีก ตอนเด็กเลยสับสนทางอารมณ์อย่างแรงครับ เหมือนจะสนุกแต่ก็ยังกึ่มๆ นะ เพราะมีช็อตน่ากลัวอยู่บ้าง แต่พอตอนโตมาดูอีกทีนี่ไม่ทำอะไรมากครับ ซื้อเก็บเลย
AwesomeWolf
⭐ 6/10
ในบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหมด “Darkman” เป็นหนังเรื่องโปรดของผม ผลงานสร้างสรรค์ของไรมี ไม่ได้อิงจากหนังสือการ์ตูนเรื่องใด “Darkman” เล่าเรื่องราวของดร.เพย์ตัน เวสต์เลค นักวิทยาศาสตร์ที่กำลังจะค้นพบวิธีสร้างผิวหนังสังเคราะห์ จูลี เฮสติงส์ แฟนสาวของเพย์ตัน เป็นทนายความฝีมือฉกาจที่เข้าข้างโรเบิร์ต จี. ดูแรนท์ ดูแรนท์และลูกน้องของเขาทำลายห้องทดลองของเพย์ตันและทิ้งเขาไว้ให้ตาย เพย์ตันถูกไฟคลอกและแผลเป็นอย่างสาหัสจนจำไม่ได้ เขาใช้ผิวหนังสังเคราะห์ที่ยังสร้างไม่เสร็จเพื่อแก้แค้นคนที่ทำผิดต่อเขา เขาจึงกลายเป็นดาร์กแมน
ดาร์กแมนไม่มีพลังพิเศษใดๆ นอกจากพละกำลังที่เพิ่มขึ้นและการไร้ความรู้สึกเจ็บปวด เขาใช้ผิวหนังสังเคราะห์เพื่อสวมบทบาทเป็นตัวละครอื่น และต่อสู้ในสงครามนั้น ดาร์กแมนไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริง เขาไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกำจัดเหล่าร้ายออกไปจากโลก เขาแค่ต้องการแก้แค้น และทุกครั้งที่ดาร์กแมนแสดง ด้านมืดของดาร์กแมนก็พรากเอาเพย์ตันไปทีละน้อย หลายคนพูดถึงความคล้ายคลึงกับ ‘Robocop’ ผมอยากจะพูดถึงความคล้ายคลึงกับผลงานล่าสุดของแซม ไรมีใน ‘Spider-Man’ ทั้งสองมีรูปแบบที่คล้ายกันมาก แต่โดยรวมแล้วปีเตอร์ ปาร์คเกอร์/สไปเดอร์แมนค่อนข้างร่าเริงและมีความสุข ในขณะที่ดาร์กแมนพบความสุขแบบซาดิสต์จากการเล่นกับศัตรูก่อนที่จะกำจัดพวกมัน ‘Spider-Man’ เหมาะสำหรับครอบครัว ‘Darkman’ ไม่ใช่หนังประเภทที่คุณอยากจะให้พ่อแม่หรือพี่น้องดู Darkman เป็นหนังที่แปลกใหม่ และเป็นอีกหนึ่งหนังคลาสสิกที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงจากแซม ไรมี ลองไปดูถ้าคุณชอบแซม ไรมี แต่หลีกเลี่ยงถ้าคุณชอบหนังที่เหมาะกับครอบครัวของ ‘Spider-Man’ นี่คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉันชอบมากที่สุด และเกือบจะเทียบเท่ากับ Batman และ Batman Returns ของ Tim Burton ได้เลย ซึ่งเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดตลอดกาล
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังฮีโร่สายดาร์ก เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
The Crow (1994) อีกาพญายม : แอนตี้ฮีโร่อีกคนที่ฟื้นจากความตายมาเพื่อล้างแค้น
Blade (1998) เบลด พันธุ์ฆ่าอมตะ : ฮีโร่ครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ที่ออกตามล่าล้างบางเหล่าผีดูดเลือด
Spawn (1997) สปอว์น ฮีโร่พันธุ์นรก : ทหารที่ถูกฆ่าและทำสัญญากับปีศาจเพื่อกลับมาล้างแค้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: “Darkman” สร้างจากคอมิกเรื่องอะไร?
A: ไม่ได้สร้างจากคอมิกครับ! “Darkman” เป็นตัวละครออริจินัลที่ถูกสร้างขึ้นโดย แซม ไรมี เอง โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหล่าฮีโร่คลาสสิกในยุค 30s อย่าง The Shadow และความน่าเศร้าของตัวละครจากหนังสยองขวัญเก่าๆ เช่น The Phantom of the Opera และ The Hunchback of Notre Dame ครับ
Q: ทำไมหนังถึงกลายเป็น “คัลท์คลาสสิก”?
A: เพราะเป็นหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมากและเป็นการผสมผสานแนวหนังที่แปลกใหม่ในยุคนั้น ซึ่งแตกต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคอหนังที่มองหาความแตกต่าง
Q: หนังมีภาคต่อหรือไม่?
A: มีครับ! แต่เป็นภาคต่อที่สร้างลงแผ่นโดยตรงและไม่ได้มีทีมงานหรือนักแสดงชุดเดิมกลับมา (ยกเว้น ลาร์รี เดรก) ได้แก่ Darkman II: The Return of Durant (1995) และ Darkman III: Die Darkman Die (1996)