ทีมนักแสดงและผู้กำกับระดับตำนาน
จุดแข็งที่สุดของหนังเรื่องนี้คือทีมนักแสดงที่ไม่ธรรมดาเลยครับ
- ไดแอน คีตัน (Diane Keaton) รับบทเป็น จอร์เจีย และที่สำคัญ เธอยังรับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง!
- เม็ก ไรอัน (Meg Ryan) รับบทเป็น อีฟ ตัวละครที่เป็นเหมือนหัวใจของเรื่อง
- ลิซ่า คูโดรว์ (Lisa Kudrow) รับบทเป็น แมดดี้ ที่แฟนๆ ซีรีส์ Friends จะต้องหลงรักในความฮาของเธอ
- วอลเตอร์ แมธเธา (Walter Matthau) รับบทเป็น ลู ซึ่งนี่คือ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขา ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกัน ถือเป็นการแสดงทิ้งทวนที่น่าจดจำ
นอกจากนี้ บทภาพยนตร์ยังเขียนโดยสองพี่น้อง เดเลีย และ นอรา เอฟรอน ซึ่งเป็นทีมเขียนบทมือทองจากหนังรอมคอมระดับตำนานอย่าง Sleepless in Seattle และ You’ve Got Mail อีกด้วย
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและมุมมองที่น่าสนใจ
Hanging Up คือหนังที่ดูง่ายและเข้าถึงใจคนดูที่มีพี่น้องได้อย่างจัง แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย โดยบางส่วนมองว่าหนังมีโทนที่ไม่สม่ำเสมอระหว่างความตลกและความเศร้า แต่จุดที่หนังทำได้ดีเยี่ยมคือ “เคมีของนักแสดง” ที่ทำให้เราเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาคือพี่น้องที่ทั้งรักทั้งชังกัน
หนังสะท้อนภาพความจริงของหลายๆ ครอบครัวที่มักจะมีลูกคนหนึ่งต้องแบกรับภาระในการดูแลพ่อแม่มากกว่าคนอื่น ซึ่งหนังนำเสนอผ่านตัวละคร “อีฟ” ของเม็ก ไรอัน ได้อย่างน่าเห็นใจและสมจริง
- IMDb: ให้คะแนน 5.5/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 12% แต่คะแนนจากฝั่งผู้ชม (Audience Score) อยู่ที่ 49% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชมทั่วไปเชื่อมต่อกับเรื่องราวของหนังได้ดีกว่านักวิจารณ์
สำหรับ Movie24HD เรามองว่านี่คือหนังฟีลกู้ดที่อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เต็มไปด้วยหัวใจและความอบอุ่น เป็นหนังที่เหมาะจะเปิดดูในวันสบายๆ เพื่อเตือนให้เรานึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแต่ก็สวยงามของคำว่า “ครอบครัว”
หมื่นทิพ
⭐ 8/10
ผมเคยดูหนังเรื่องนี้รอบเแรกเมื่อ พ.ศ. 2543 ซึ่งรอบนั้นผมรู้สึกเฉยๆ และมองว่าหนังไม่สนุกสักเท่าไหร่ อาจเพราะผมมองว่าเรื่องนี้มี Nora Ephron มาร่วมดัดแปลงบท ซึ่งเธอคนนี้มีผลงานในทำเนียบอย่างเขียนบท When Harry Met Sally แล้วก็กำกับ Sleepless in Seattle กับ You’ve Got Mail ตามด้วยเหล่านักแสดงอย่าง Diane Keaton, Meg Ryan, Lisa Kudrow และ Walter Matthau พร้อมดูจากหน้าหนังก็ทำให้นึกไปว่าหนังน่าจะมาแนวตลกเบาๆ อะไรประมาณนั้น แต่พอเนื้อในไม่เป็นไปตามที่คาด ก็เลยรู้สึกเฉยๆ กับหนังไปโดยปริยาย ตอนแรกผมก็นึกว่าหนังจะว่าด้วยเรื่อง 3 พี่น้องกับคุณพ่อจอมวุ่นที่เจอมรสุมชีวิต แต่สุดท้ายแล้วด้วยความรักความเข้าใจและการมีกันและกันเลยทำให้พวกเขาผ่านพ้นเรื่องทั้งหลายมาได้ แล้วหนังก็จบลงอย่างเป็นสุข… นั่นคือภาพที่ผมคาด แต่กลายเป็นว่าหนังไปอีกทางครับ หลักๆ จะเป็นเรื่องของอีฟ (Ryan) ลูกสาวคนกลางที่ต้องดูแลพ่อ (Matthau) ที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ แล้วก็มีพฤติกรรมไม่น่ารักสารพัด ในขณะที่พี่คนโตอย่างจอร์เจีย (Keaton) และน้องคนเล็กอย่างแมดดี้ (Kudrow)
ต่างก็พยายามหาทางหลีกเลี่ยงที่จะพบพ่อ อย่างมากก็คุยกับอีฟผ่านโทรศัพท์ แล้วอีฟก็ต้องเผชิญกับเรื่องหนักๆ คนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ หนังมาในโทนเบาสมองก็จริงครับ แต่เนื้อเรื่องมันหนักนะ มันคือการที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องดูแลพ่อที่ชอบก่อปัญหา แล้วที่ผ่านมาพ่อของเธอก็ไม่ได้น่ารักสักเท่าไหร่ ถึงขั้นเคยเมาอาละวาดทำลายงานเลี้ยงหลานตัวเองก็ทำมาแล้ว ซึ่งหนังก็นำเสนอเรื่องตัดสลับระหว่างปัจจุบันกับอดีตให้เราเข้าใจภาพรวมของครอบครัวนี้ ที่จริงๆ ก็นับได้ว่าขาดความอบอุ่น พ่อแม่แยกทางกัน พี่น้องก็เหมือนจะห่างเหินกัน ต่างคนต่างก็ต้องเจอเรื่องหนักๆ และปัญหาเพียงลำพัง ไม่ได้มีคนในครอบครัวมาเคียงบ่าเคียงไหล่กัน คงเพราะอย่างนี้น่ะครับ ผมเลยรู้สึกเฉยๆ เพราะหนังมันไม่เชิง Feel Good ไม่ใช่รอมคอม แต่เป็นการเอาภาพของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มานำเสนอในอารมณ์ชวนหัว ดูไปมันเลยประดักประเดิด จะรู้สึกแย่ก็ไม่ใช่ (เพราะหนังก็ไม่ได้ไปในทางดาร์คขนาดนั้น) จะรู้สึกดีก็ไม่เชิง (เพราะหนังก็ไม่ได้ Feel Good ชัดเจนอย่างที่บอก)
และการดูรอบล่าสุดของผม ในแง่ความรู้สึกจริงๆ ก็เหมือนเดิมนะ คือพล็อตหนังมันคือการเอาเรื่องเศร้าๆ เรื่องช้ำๆ มาเล่าให้ขำ รสมันเลยแปร่งๆ อยู่บ้าง และตัวหนังเองจริงๆ ก็ยังเล่าได้ไม่ลื่นครับ จุดสำคัญเลยคือบทสนทนาที่มันยังไม่ลื่น มันไม่ได้อุดมไปด้วยประเด็นหรือถ้อยคำชวนคิดแบบหนังเรื่องก่อนๆ ที่ Ephron เคยบรรเลงไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเพราะเรื่องนี้ Ephron ไม่ได้กำกับเอง แต่ให้ Keaton มาคุม เลยทำให้หนังออกมายังไม่กลมกล่อม ยังมีความขาดๆ เกินๆ ให้รู้สึกเป็นพักๆครับ ในแง่หนังสักเรื่อง มันอาจไม่ลงล็อคตอบโจทย์ไม่ว่าจะในฐานะสร้างความบันเทิง หรือในฐานะหนังดราม่าสะท้อนชีวิตคน – ส่วนหนึ่งอาจเพราะหนังพยายามจับปลาหลายมือน่ะครับ มีหลายอารมณ์ในเรื่องเดียวแต่มันยังกวนกันได้ไม่เข้าที่นัก รสชาติหนังเลยยัง “ดีได้อีก”
แต่ครับ… แต่ทว่า กลายเป็นว่าการดูรอบนี้ผมรู้สึกเชิงบวกกับหนังมากขึ้น และชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้น อาจเพราะตอนดูรอบแรกยังถือว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่น เลยยังจับบางประเด็นได้ไม่ชัด แต่พอเวลาผ่านไป 25 ปี ได้ผ่านอะไรๆ มาพอสมควร เลยพอจะจูนติดกับบางประเด็นที่หนังนำเสนอ ประเด็นแรกเลยก็คือ “ไม่ใช่ทุกคนที่จะพร้อมเป็นพ่อเป็นแม่” ซึ่งมันอาจจะค้านกับแนวคิดที่ว่า “การเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ เดี๋ยวพอมีลูก แล้วมันก็จะเป็นไปเอง” อ้า นั่นก็แนวคิดหนึ่งน่ะนะครับ ในขณะที่อันนี้มันคืออีกมุมหนึ่งที่บอกว่า “ไม่เสมอไปหรอก… บางคนก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพ่อแม่คนจริงๆ”
หนังบอกเล่าประเด็นนี้ผ่านฉากที่อีฟเดินทางไปเยี่ยมแม่ (Cloris Leachman) หลังจากที่แม่แยกทางกับพ่อ แล้วเธอก็ระบายความในใจต่างๆ ประสาลูกที่อยากเล่าความอัดอั้นให้แม่ฟัง แล้วก็หวังว่าแม่ของเธอจะเป็นที่พึ่งทางใจ จะปลอบโยนเธอ และให้คำแนะนำกับเธอได้ แต่กลายเป็นว่าพออีฟพูดไปสักพัก แม่ของเธอก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอคิดก่อนนะว่าจะพูดยังไงดี…เอ่อ… ถึงที่สุดแล้ว ความเป็นแม่ ก็ไม่ใช่เหตุผล” “สำหรับอะไรคะ?” อีฟถาม แม่ก็พูดต่อว่า “แม่จะบอกว่า แม่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ปลื้มกับความเป็นแม่… แต่ก่อนแม่เห็นสาวๆ ส่วนใหญ่ต้องการแต่งงานมีลูก แม่ก็เลยคิดว่าตัวเองคงเป็นอย่างนั้นด้วย แต่… มันก็ไม่ใช่”
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชอบหนังแนวครอบครัววุ่นๆ อบอุ่นหัวใจแบบนี้ เราขอแนะนำ:
- The Family Stone (2005): อีกหนึ่งเรื่องที่ ไดแอน คีตัน แสดงนำ เป็นเรื่องราวของครอบครัวสุดป่วนในช่วงวันหยุดคริสต์มาส
- Steel Magnolias (1989): หนังดราม่าในตำนานที่เล่าเรื่องสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของผู้หญิงต่างวัยในเมืองเล็กๆ
- This Is Where I Leave You (2014): เรื่องราวของพี่น้อง 4 คนที่ต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังพ่อเสียชีวิต นำไปสู่เรื่องวุ่นๆ ทั้งฮาทั้งซึ้ง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกหรือหนังดราม่า?
A: เป็น “ดราม่า-คอเมดี้” หรือ “Dramedy” ครับ คือมีทั้งฉากที่ทำให้คุณหัวเราะไปกับความป่วนของตัวละคร และฉากซึ้งๆ ที่อาจทำให้คุณน้ำตาซึมได้
Q: หนังเรื่องนี้เหมาะจะดูคนเดียวหรือดูกับครอบครัว?
A: ดูได้ทั้งสองแบบเลยครับ แต่ถ้าได้ดูกับพี่ๆ น้องๆ ของคุณอาจจะอินเป็นพิเศษ และอาจจะได้หันมาคุยกันมากขึ้นหลังดูจบก็ได้นะครับ!
Q: จุดเด่นที่สุดของหนังคืออะไร?
A: ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคือ “การแสดงของสามนักแสดงนำ” ครับ การได้เห็น เม็ก ไรอัน, ไดแอน คีตัน และ ลิซ่า คูโดรว์ มาอยู่ร่วมจอเดียวกัน คือความสุขของคนดูหนังอย่างแท้จริง
บทสรุป: Hanging Up อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบในสายตานักวิจารณ์ แต่มันคือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและเสน่ห์ของนักแสดงชั้นครู หากคุณกำลังมองหาหนังที่ทำให้คุณอบอุ่นหัวใจและอยากจะโทรหาคนที่บ้าน เรื่องนี้คือคำตอบที่ดีเลย