ดูหนัง Star Trek 4 The Voyage Home (1986) สตาร์ เทรค 4 ข้ามเวลามาช่วยโลก
ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์ Star Trek ภาคที่ “ดูง่าย”, “ตลก”, และ “เข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง” ได้มากที่สุด ชื่อของ “The Voyage Home” จะต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง! นี่คือหนังไซไฟที่จะทำให้คุณหัวเราะไปกับการผจญภัยสุดวายป่วงของเหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์ในยุค 80s!
เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มต้นต่อจากตอนจบของ Star Trek III ทันที กัปตันเคิร์ก (รับบทโดย วิลเลียม แชทเนอร์) และเหล่าลูกเรือผู้ภักดี กำลังจะเดินทางกลับสู่โลกเพื่อรับการไต่สวนหลังจากขโมยยานเอนเตอร์ไพรส์และฝ่าฝืนคำสั่ง แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ที่กำลังจะทำลายล้างโลก! ยานสำรวจทรงกระบอกปริศนาได้เดินทางมายังโลกและส่งสัญญาณลึกลับออกมา ซึ่งทำให้ระบบพลังงานทั่วโลกเป็นอัมพาตและสร้างหายนะทางสภาพอากาศอย่างรุนแรง สป็อค (รับบทโดย เลนเนิร์ด นิมอย) ได้ค้นพบว่าสัญญาณนั้นคือ “เสียงร้องของปลาวาฬหลังค่อม”! ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ “สูญพันธุ์” ไปแล้วในศตวรรษที่ 23!
หนทางเดียวที่จะช่วยโลกได้คือการ “เดินทางย้อนเวลา” กลับไปในศตวรรษที่ 20 เพื่อตามหาปลาวาฬหลังค่อมคู่หนึ่งและนำพวกมันกลับมายังอนาคตเพื่อสื่อสารกับยานสำรวจลำนั้น! เหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์จึงต้องทิ้งเทคโนโลยีสุดล้ำและพยายามจะปรับตัวเข้ากับโลกสุด “ป่าเถื่อน” ของซานฟรานซิสโกในปี 1986! พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสารพัดสิ่งที่น่าพิศวง (สำหรับพวกเขา) ตั้งแต่พังก์ร็อกบนรถบัส, พิซซ่า, ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ยุคแรก!
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย! “The Voyage Home” คือภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเป็นหนัง “ปลาพ้นน้ำ” (Fish-out-of-water) ที่ยอดเยี่ยม หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่เกิดจากการที่เหล่าลูกเรือจากอนาคตต้องมาเจอกับวัฒนธรรมสุดแปลกประหลาดของยุค 80s ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่ารัก หนังไม่ได้มีตัวร้ายที่ชัดเจนหรือฉากแอ็กชันดวลยานอวกาศ แต่เน้นไปที่การผจญภัยที่อบอุ่นหัวใจและสอดแทรกประเด็น “การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ได้อย่างทรงพลังและ “มาก่อนกาล” เคมีของทีมนักแสดงดั้งเดิมนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ และการที่ เลนเนิร์ด นิมอย (ผู้รับบทสป็อค) Star Trek 4 The Voyage Home มารับหน้าที่กำกับเอง ก็ทำให้เขาสามารถดึงเอาเสน่ห์และความเป็นคอมเมดี้ของแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ คะแนนจากนักวิจารณ์: Star Trek III: The Search for Spock ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีครับ ทำเงินพอๆ กับภาค 2 จนหลายฝ่ายแน่ใจเลยว่าภาค 4 จะต้องมีตามมาแน่ๆ แต่จริงๆ แล้ว Paramount ได้คุยโครงการทำภาค 4 กับ Leonard Nimoy ไว้ตั้งแต่ก่อนภาค 3 จะออกฉายอีกครับ โดย Paramount เสนอจะให้ Nimoy กลับมากำกับอีกครั้ง พร้อมทั้งให้อิสระแบบเต็มที่ อยากทำหนังออกมาแนวไหน แบบไหนเลือกได้ตามสบาย Nimoy กับ Harve Bennett มีแนวคิดคล้ายกันครับ ว่าอยากให้เนื้อเรื่องในภาค 4 ออกมาในโทนเบาๆ ไม่ต้องหนัก ไม่ต้องเข้มข้นแบบ 3 ภาคแรก และที่สำคัญคือพวกเขาไม่ต้องการให้มีผู้ร้ายในภาคนี้ครับ ว่าง่ายๆ พวกเขาอยากให้การทำภาคนี้เป็นเหมือนการตามทีมงานมาทำตอนสนุกๆ ให้ทุกคนได้ทำไปหัวเราะไป เป็นการพักร้อนไปในตัว แต่ปัญหาเล็กๆ ก็เกิดเมื่อ William Shatner เจ้าของบทกัปตันเคิร์กรู้สึกไม่อยากกลับมาแสดงบทนี้อีก ทำให้ Nimoy กับ Bennett ต้องมานั่งหาทางออกด้วยการวางพล็อตใหม่เกี่ยวกับการทำภาคก่อนหน้า (Prequel) แต่ในที่สุด Shatner ก็ยอมกลับมาเมื่อสตูดิโอเพิ่มค่าตัวเป็น 2.5 ล้าน (เท่ากับที่ Nimoy ได้รับ) และสัญญาว่าจะให้เขากำกับ Star Trek 5 กล่าวกันว่าเมื่อดาราทีมเก่าพากันทยอยเพิ่มค่าตัว Paramount จึงตัดสินใจสร้างซีรี่ส์ Star Trek: The Next Generation (ชุดที่นำโดยกัปตันฌอง ลุค พิคาร์ดน่ะครับ) โดยจ้างเอาดาราที่ไม่มีชื่อเสียงเท่าไรมาแสดง และเพื่อให้พวกเขาเป็นทีใหม่สำหรับขึ้นจอใหญ่ต่อไป เผื่อว่าในอนาคตทีมเก่ามีปัญหาเรื่องค่าตัวทำนองนี้อีกก็จะได้ยกทีมใหม่ขึ้น จอไปเลย Nimoy กับ Bennett จึงหันมานั่งพัฒนาบทกันอีกครั้งตามความตั้งใจเดิมที่จะให้เนื้อหาออกมาเบาๆ และหมายจะให้มีการย้อนเวลาไปสู่อดีตด้วย ทีนี้พอทาง Paramount ทราบพล็อตคร่าวๆ ก็เลยเสนอ (แกมขอร้อง) ให้พวกกัปต้นเคิร์กย้อนมาปี 1986 (ปีปัจจุบันที่หนังออกฉาย) ได้ไหม คนดูจะได้รู้สึกเข้าถึงและสนุกไปกับเรื่องราวได้ง่ายขึ้น ซึ่ง Nimoy กับ Bennett ก็ไม่มีปัญหาครับ ทีนี้ประเด็นต่อมาคือ จะให้พวกเขาย้อนเวลามาทำไม… แล้วไอเดียก็เดินเครื่องครับ นอกจากพวกเขาจะให้โทนหนังออกมาเบาแล้ว ยังอยากให้หนังเน้นให้คนรักษ์ธรรมชาติ หันมาสนใจโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ถูกมนุษย์ทำลายไปเรื่อยๆ แล้วมนุษย์เองนั่นแหละที่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย ไม่ว่าการทำลายธรรมชาติจนระบบนิเวศน์เสีย เราขุดน้ำมันกันขึ้นมาใช้แล้วก็เกิดปัญหามลภาวะเป็นพิษตามมา เราทำลายป่า ทำลายสัตว์ให้สูญพันธุ์ หรือถ้าสัตว์ป่าชนิดไหนยังไม่สูญพันธุ์ แต่พอไม่มีป่าให้มันอยู่ มันก็มาอาละวาดสร้างความวุ่นวายให้กับชุมชนหมู่บ้านต่างๆ (ทั้งที่ถ้าหากให้ป่ามันอยู่ มันก็จะต่างคนต่างอยู่ได้ แบบที่บรรพบุรุษของเราเคยทำกันมา) Nimoy ก็ทยอยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แล้วเขาก็นึกถึงวาฬหลังค่อม (Humpback whale) Star Trek 4 The Voyage Home ขึ้นมาครับ เพราะ Nimoy มีคำถามเสมอว่าเจ้าวาฬเหล่านี้ชอบส่งเสียงเหมือนร้องเพลง เขาเลยเกิดคำถามว่ามันร้องอะไร มันสื่อความหมายอะไร เพราะวาฬหลังค่อมสามารถส่งเสียงที่แตกต่างได้ไม่น้อยกว่า 34 เสียง และเสียงเหล่านั้นยังส่งไปได้ไกลกว่า 150 กิโลเมตร เป็นไปได้ไหมว่ามันกำลังสื่อสารในสิ่งสำคัญบางอย่างที่มนุษย์เองก็ยังไม่อาจ แปลออกมาได้ เป็นไปได้ไหมว่าความหมายในเสียงนั้นมีอะไรมากกว่าแค่การส่งเสียงสื่อสาร เรียกคู่เท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์กลับไล่ล่าเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตที่น่าค้นหาเหล่านี้… พอได้ไอเดียประมาณนี้ Nimoy ก็ลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษา Daniel Petrie, Jr. คนเขียนบท Beverly Hills Cop ทีนี้เรื่องก็เลยรู้ถึง Eddie Murphy ซึ่งพี่แกก็ประกาศตัวครับว่าเขาเป็นแฟน Star Trek พันธุ์แท้มาแต่ไหนแต่ไร และเขาจะยินดีมากหากได้ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ Nimoy เลยส่งไอเดียทั้งหมดที่มีให้กับ 2 มือเขียนบท Steve Meerson และ Peter Krikes จนได้บทออกมาโดยบทของ Murphy จะเป็นศาสตราจารย์ที่เชื่อในเรื่องเอเลี่ยนและหลงใหลในเพลงของวาฬหลังค่อม และเขาก็จะมีส่วนช่วยในการผจญภัยครั้งใหม่ของกัปตันเคิร์กและพรรคพวก แต่ไปๆ มาๆ Murphy ไม่ชอบบทนี้ครับ เพราะเขาอยากแสดงเป็นเอเลี่ยนหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่สหพันธ์ดวงดาวมากกว่า ในที่สุดเขาก็โบกมืออำลาไปทำหนังเรื่อง The Golden Child แทน (และในเวลาต่อมา Murphy ก็ออกมายอมรับครับ ว่านั่นเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา) ส่วนบทศาสตรจารย์คนนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงชื่อว่า ดร. จิลเลี่ยน เทเลอร์แทน ขณะเดียวกันบทชิ้นนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจของ Paramount ครับ เพราะบทออกจะรุงรัง มีฉากไม่จำเป็นเยอะ อีกทั้งยังมีการเขียนบทให้ซาวิค สาววัลแคนที่มีบทในภาค 2 และ 3 ตั้งท้องลูกของสป็อกด้วย ซึ่งผู้บริหาร Paramount พออ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่เข้ากับโทนของ Star Trek ในเวลาต่อมาเลยมีการติดต่อให้ Nicholas Meyer มือเขียนบทและผู้กำกับ Star Trek II ให้กลับมาช่วยเกลาบท Meyer เลยทำงานร่วมกับ Bennett ที่ต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่าการทำงานครั้งนี้มันล่าช้าเสียเวลามาหลายเดือนเกินไปแล้ว Meyer เลยเสนอให้ Bennett รับหน้าที่เกลาบทในช่วงต้นและช่วงท้าย ส่วนเนื้อเรื่องส่วนตรงกลางที่ว่าด้วยโลกยุคปัจจุบัน เดี๋ยวเขาจะทำให้เอง แล้วพวกเขาก็แท็กทีมกันปั่นบทใหม่ เสร็จใน 12 วัน 🤩 8/10 ผมดูฉบับสะสมพิเศษของเรื่องนี้แล้ว (ซึ่งผมเข้าใจว่าไม่มีฉากเพิ่มเติมที่ไม่ได้อยู่ในฉบับดั้งเดิม) อ้อ ‘ตลก’ นะ มีทฤษฎีว่าหลังจากดูตอนหนักๆ หรือดาร์กๆ ติดต่อกันหลายตอน ก็น่าจะสนุกขึ้นได้ นี่มันเวอร์ชั่นหนังของตอนที่เบากว่านี้อีก แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ฉลาด ดราม่า และก็ สนุกมาก กำกับโดยนิมอยอีกครั้ง และเรื่องนี้ก็เขียนบทบางส่วนด้วย ถือว่าดีกว่าภาคก่อนๆ มาก เรื่องนี้อาจจะห่วยแตกมากถ้าดูจากคอนเซ็ปต์ แต่…ไม่ใช่ มันยอดเยี่ยมมาก อารมณ์ขันทำได้ดีจริงๆ จังหวะเวลา เนื้อหา ทุกอย่างลงตัว ส่วนใหญ่ใช้คำพูด มีมุกตลกปนนิดหน่อย ไม่มีความเป็นเด็กหรือแย่กว่านั้น เงื่อนไขเบื้องต้นในการ “เข้าใจ” เรื่องนี้ นอกจากรู้จักซีรีส์แล้ว ก็แค่เข้าใจวัฒนธรรมอเมริกันและคำแสลง โดยเฉพาะคำแสลงในยุคนั้น เนื้อเรื่องก็ดี สถานการณ์ต่างๆ ได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจ แม้ว่าบางแง่มุมอาจได้ประโยชน์จากความจริงจังมากกว่านี้ บทสนทนายอดเยี่ยมมาก อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในบรรดาหนังเหล่านี้ที่ผมเคยเห็นมา ภาษาที่ใช้แพร่หลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน (และรุนแรงกว่าด้วย) แม้ว่าบางส่วนจะมีจุดประสงค์บางอย่าง (เช่น เพื่อความฮา) ยังมีจุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ อีกประการหนึ่งในเรื่องนี้ ถ้าผู้ชมสามารถทนหรือมองข้ามได้ พวกเขาก็น่าจะสนุกกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้มีเนื้อหาสอนใจ แต่ไม่ได้เน้นการสั่งสอน ผมขอแนะนำเรื่องนี้สำหรับแฟนๆ Star Trek และ/หรือไซไฟ และจะแนะนำให้ดูภาคสองก่อน (ภาคสามอาจจะไม่จำเป็น) 8/10 หากคุณชื่นชอบหนังแนวไซไฟ-คอมเมดี้-เดินทางข้ามเวลา เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้: Star Trek 4 The Voyage Home Q: ไม่เคยดู Star Trek มาก่อน จะดูรู้เรื่องไหม? Q: ทำไมภาคนี้ถึงไม่มีตัวร้ายหลัก? Q: หนังประสบความสำเร็จด้านรายได้หรือไม่?**ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
โปสเตอร์หนัง



รีวิวภาพรวม: หนังไซไฟ-คอมเมดี้ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
A: รู้เรื่องแน่นอนครับ! “The Voyage Home” ถูกสร้างมาให้เป็นภาคที่ “เข้าถึงง่าย” ที่สุดในแฟรนไชส์ สามารถดูเป็นหนังเดี่ยวๆ ได้โดยไม่สับสน และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยดู Star Trek มาก่อนด้วยซ้ำ
A: เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการจะสร้างหนัง Star Trek ที่มีโทนที่สดใสและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น หลังจากที่สองภาคก่อนหน้ามีเนื้อหาที่ค่อนข้างดาร์กและจริงจัง โดยศัตรูที่แท้จริงในภาคนี้คือ “การกระทำของมนุษย์ในอดีต” ที่ทำให้ปลาวาฬต้องสูญพันธุ์นั่นเองครับ
A: ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายครับ! เป็นหนึ่งในภาคที่ทำรายได้สูงสุดในแฟร-นไชส์ และได้รับการยอมรับจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไป ซึ่งหาได้ยากสำหรับหนัง Star Trek ในยุคนั้น
