ดูหนัง The Call (2020) สายตรงต่ออดีต
ทุกท่าน! “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณโทรศัพท์คุยกับคนในอดีต… แล้วคนในอดีตคนนั้นดันเป็น ‘ฆาตกรโรคจิต’?” นี่คือพล็อตเรื่องสุดระทึกและสร้างสรรค์ของ The Call! วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” ที่เป็นการปะทะบทบาทสุดเชือดเฉือนของสองนักแสดงหญิงแถวหน้า และเป็นการโชว์ฟอร์มที่ “น่าขนลุก” ที่สุดของ จอนจงซอ!
คำเตือนเนื้อหา (CONTENT WARNING):
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรุนแรง, ฉากเลือดสาด, และการทรมานที่สมจริง ไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่ขวัญอ่อน
เรื่องย่อ
ซอยอน (พัคชินฮเย) หญิงสาวที่กำลังเศร้าโศกจากการสูญเสียพ่อ ได้เดินทางกลับมายังบ้านเก่าในชนบทของเธอ ที่นั่น เธอได้พบกับ “โทรศัพท์ไร้สาย” รุ่นเก่าเครื่องหนึ่ง… และแล้วโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ดังขึ้น!
ปลายสายคือ โอยองซุก (จอนจงซอ) หญิงสาวที่อ้างว่าเธออาศัยอยู่ใน “บ้านหลังเดียวกันนี้” แต่กำลังถูกแม่เลี้ยง (ที่เป็นหมอผี) ทรมานอย่างทารุณ หลังจากพูดคุยกันสักพัก ทั้งสองก็ต้องพบกับความจริงอันน่าสะพรึงกลัว… พวกเธอกำลังคุยกัน “ข้ามเวลา”! ซอยอนอยู่ในปี 2019 ในขณะที่ยองซุกอยู่ในปี 1999
ในตอนแรก ซอยอนผู้รู้เหตุการณ์ในอนาคต ได้พยายามจะช่วยเหลือยองซุก และเธอก็ทำสำเร็จ! ซอยอนได้ช่วย “เปลี่ยนอดีต” ทำให้พ่อของเธอรอดชีวิตจากอุบัติเหตุในอดีต และทำให้ “ปัจจุบัน” ของเธอเปลี่ยนไปกลายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ!
แต่การเปลี่ยนแปลงอดีตนั้นมี “ราคา” ที่ต้องจ่าย… เมื่อยองซุกในอดีตได้ค้นพบ “ตัวตนที่แท้จริง” ของตัวเอง… เธอกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเหี้ยม! และบัดนี้ เธอกลายเป็นผู้ “ควบคุมเกม” ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งที่เธอทำในอดีต จะส่งผลกระทบต่อปัจจุบันของซอยอนทันที! ซอยอนจึงต้องหาทางหยุดยั้งฆาตกรที่อยู่ในอดีตให้ได้ ก่อนที่มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- พัคชินฮเย (Park Shin-hye) รับบทเป็น คิมซอยอน: (นางเอกขวัญใจมหาชน) ที่ต้องมารับบทบาทสุดบีบคั้นอารมณ์
- จอนจงซอ (Jeon Jong-seo) รับบทเป็น โอยองซุก: นี่คือการแสดงระดับ “ปีศาจ” ที่แท้จริง! เธอขโมยหนังทั้งเรื่องด้วยการแสดงที่ทั้งน่าสงสาร, น่ากลัว, และบ้าคลั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ (หลายคนอาจจะจำเธอได้จากเรื่อง Burning และ Money Heist: Korea)
- ผู้กำกับ: อีชุงฮยอน (Lee Chung-hyun) (ผลงานการกำกับภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกที่น่าทึ่ง!)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Call คือ “รถไฟเหาะ” แห่งความระทึกขวัญที่สมบูรณ์แบบ!
- พล็อตเรื่องที่ฉลาดและกดดัน: หนังเรื่องนี้ “ไม่ใช่” หนังผี แต่เป็น “ไซไฟ-ทริลเลอร์” ที่เล่นกับทฤษฎีเวลาได้อย่างน่าตื่นเต้น การที่ปัจจุบันของนางเอก “เปลี่ยนแปลง” ตลอดเวลาตามการกระทำของตัวร้ายในอดีต คือความกดดันที่บีบหัวใจผู้ชมอย่างถึงที่สุด
- การแสดงที่น่าขนลุก: เคมีระหว่าง พัคชินฮเย (ผู้ถูกล่า) และ จอนจงซอ (ผู้ล่า) คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด จอนจงซอได้สร้างหนึ่งใน “วายร้ายหญิง” ที่น่าจดจำและน่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์หนังเกาหลี
- งานภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยม: หนังใช้สีสันที่ตัดกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และใช้เสียงโทรศัพท์ได้อย่างหลอนประสาท สร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจได้ตลอดทั้งเรื่อง
- ตอนจบที่ห้ามกะพริบตา: หนังเรื่องนี้มีตอนจบที่ “หักมุม” และ “โหดร้าย” จนถึงวินาทีสุดท้าย (อย่าเพิ่งลุกหนีตอนเครดิตขึ้น!)
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.1/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์สูงลิ่วถึง 100% (Certified Fresh)!
VajraRaja
⭐ 6/10
ภาพยนตร์เรื่องนี้พลิกโฉมความคาดหวังของผู้ชมด้วยการพรรณนาถึงตัวเอกที่มีปัญหาพยายามปกปิดความรู้สึกผิดของตนเอง เพื่อที่จะเข้าใจภาพยนตร์ สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะมุมมองและมุมมองของตัวเอกกับสถานการณ์จริง แม้ว่าภาพยนตร์อาจยังไม่ค่อยดีนัก แต่ก็สามารถหลอกล่อผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับเปิดเผยไพ่ใบสำคัญได้อย่างแนบเนียน ภาพยนตร์มุ่งเน้นไปที่มุมมองของตัวเอก ซึ่งแท้จริงแล้วมีอาการหลงผิดอย่างรุนแรงและมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (แม้ว่าตัวเอกจะถ่ายทอดสิ่งนี้ไปยังผู้โทรในจินตนาการของเธอ ฉันจะพูดถึงเรื่องนี้ในเร็วๆ นี้) ตัวเอกมีบาดแผลในวัยเด็กที่ถูกกดเก็บเอาไว้ ซึ่งเกิดจากการฆ่าพ่อของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจในเหตุเพลิงไหม้บ้าน เพื่อใช้เป็นกลไกในการรับมือ เธอจึงโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อในความเป็นจริงเสมือน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเป็นเพียงเหยื่อผู้บริสุทธิ์
เห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อเธอโทษแม่ของตัวเองที่ทำให้พ่อของเธอเสียชีวิต เธอเชื่อว่าแม่ของเธอเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ จึงรู้สึกขุ่นเคืองใจแม้ในวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย แม่แบกรับความเจ็บปวดนี้ไว้ แม้จะอยู่บนเตียงรอความตายด้วยโรคมะเร็งสมอง เพราะเธอไม่อยากให้สุขภาพจิตของลูกทรุดโทรมลงไปอีก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เราจะได้รู้ว่าแม่ของเธอเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ในขณะที่ตัวเอกเองต่างหากที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอฆ่าพ่อ และลึกๆ แล้วภายใต้เงามืดที่ถูกกดทับ เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี ขณะที่ตัวเอกกลับมายังบ้านในวัยเด็ก เธอสังเกตเห็นห้องใต้ดินที่ซ่อนอยู่ มีเก้าอี้ตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมของเล่นเก่าๆ และกล่องที่ผู้เช่าคนก่อนทิ้งไว้ นี่คือช่วงเวลาที่สภาพจิตใจของเธอกลายเป็นเหมือนคนบ้า เธอจินตนาการว่าบันไดที่นำไปสู่ห้องใต้ดินกำลังลุกไหม้ เป็นสัญลักษณ์ว่าเธอไม่อาจละทิ้งการเผาบ้านและพ่อของเธอให้เป็นเถ้าถ่านได้
ลองนึกภาพว่าตอนที่เธอมาถึงบ้านหลังแรก เธอทำโทรศัพท์หาย เธอใช้แอป Find My Phone และพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่เดิม จึงเปลี่ยนไปใช้การสแกนสมองด้วย MRI ซึ่งอาจดูเหมือนนำไปสู่เหตุการณ์ถัดไป แต่กลับเป็นการย้อนรอยเหตุการณ์ในอดีต การเปลี่ยนผ่านจากโทรศัพท์ไปเป็นการสแกนสมองนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เธอมีโทรศัพท์เป็นของตัวเองและกำลังโทรหาตัวเอง มีการเปิดเผยว่าเธอต้องการโทรศัพท์ แต่เธอไม่เคยลืมมันไปจริงๆ เหรอ ทุกอย่างมันอยู่ในหัวของเธอ ดังนั้น เธอจึงโทรหาตัวเองซ้ำๆ กัน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องทั้งหมด เธอกำลังโทรหาตัวเองและกำลังพูดกับตัวเอง แต่ในใจเธอเชื่อว่าเธอกำลังคุยกับคนอื่นในอดีตจริงๆ
คนในโทรศัพท์อ้างว่าอะไร? เธออาศัยอยู่กับแม่โดยไม่มีพ่อ (แม่เลี้ยงเพราะเธอไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอนอกจากพ่อ) เธอมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ เธออ้างว่าแม่พยายามฆ่าเธอด้วยการเผาเธอ เธอเกลียดชังแม่โดยหวังว่าเธอจะต้องตาย ฟังดูคุ้นๆ ไหม? มันควรจะเป็นแบบนั้นจริงๆ! พระเอกแค่เปลี่ยนภาพในอดีตของเธอในหัว มาเป็นภาพอดีตผู้เช่าบ้าน พวกเขาพบกันแค่ครั้งเดียวตอนที่พระเอกยังเป็นเด็ก แต่ด้วยความที่กลัวเธอตอนเด็ก ทำให้นางเอกกลายเป็นตัวร้ายในเงาของเด็กที่อ่อนไหว ตัวร้ายก็คือเงาของพระเอก นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง เพราะนั่นคือสิ่งที่พระเอกจินตนาการถึงตัวเอง ทั้งคู่ขับรถไม่เป็น ทั้งคู่ใช้ถังดับเพลิงเป็นอาวุธ (เธออธิบายให้แม่ฟังถึงวิธีการใช้ถังดับเพลิงเป็นอาวุธ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เด็กหญิงเคยใช้ฆ่าคนอื่นในอดีต) ทั้งคู่มีลายฉลุมือที่เหมือนกันเป๊ะ ทำให้เกิดการซ้อนทับที่สมบูรณ์แบบ ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเธอกำลังโต้ตอบกับตัวเองอยู่
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในหนังทริลเลอร์-ไซไฟ-หักมุม เราขอแนะนำ:
- The Caller (2011): นี่คือหนัง “ต้นฉบับ” (เวอร์ชั่นอังกฤษ/เปอร์โตริโก) ที่หนังเรื่องนี้รีเมคมา
- Forgotten (2017) คืนซ่อนอดีต: อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซหนังทริลเลอร์เกาหลีที่หักมุมจนกรามค้าง
- Mirage (2018) ภาพลวงตา: หนังไซไฟ-ทริลเลอร์จากสเปนบน Netflix ที่มีพล็อตเรื่องการเปลี่ยนแปลงอดีตผ่านมิติเวลาคล้ายๆ กัน
- Frequency (2000): หากอยากดูหนังแนวติดต่อข้ามเวลาในเวอร์ชั่นที่ “อบอุ่นหัวใจ” กว่านี้
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้น่ากลัวแบบผีหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่หนังผี แต่เป็น “ทริลเลอร์-ฆาตกรต่อเนื่อง” ที่มีความรุนแรงและกดดันทางจิตใจสูงมาก อาจจะน่ากลัวกว่าหนังผีบางเรื่องเสียอีก!
Q: หนังเรื่องนี้คือ ‘The Call (2013)’ ที่ฮัลลี เบอร์รี แสดงหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่! นั่นคือหนังคนละเรื่องกันเลย เรื่องนั้นเป็นหนังลักพาตัวบนรถ เรื่องนี้คือหนังเกาหลีที่คุยโทรศัพท์ข้ามเวลาครับ
Q: นี่คือหนังรีเมคเหรอ?
A: ใช่ เป็นการรีเมคอย่างเป็นทางการจากหนังอินดี้เรื่อง The Caller (2011) แต่เวอร์ชั่นเกาหลีนี้ได้รับการยอมรับว่าทำออกมาได้ “ดุเดือด” และ “มีสไตล์” ที่จัดจ้านกว่ามาก
บทสรุป: The Call (2020) คือภาพยนตร์ทริลเลอร์เกาหลีระดับ “มาสเตอร์พีซ” ที่คุณ “ห้ามพลาด” ด้วยประการทั้งปวง เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างพล็อตเรื่องที่ชาญฉลาด, ความระทึกขวัญที่บ้าคลั่ง, และการแสดงระดับปีศาจ หากคุณพร้อมที่จะโดนปั่นประสาท… ก็รับสายโทรศัพท์นี้ได้เลย!