นักแสดงนำและผู้กำกับ
- อันโตนิโอ แบนเดอรัส (Antonio Banderas) กลับมารับบท อเลฮานโดร / โซโร
- แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ (Catherine Zeta-Jones) กลับมารับบท เอเลน่า เดอ ลา เวก้า เคมีของทั้งสองคนยังคงเป็น “แม่เหล็ก” ที่ทรงพลังที่สุดของหนังเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
- รูฟัส ซีเวลล์ (Rufus Sewell) รับบทเป็น เคานต์ อาร์มองด์
- ผู้กำกับ: มาร์ติน แคมป์เบลล์ (Martin Campbell) ผู้กำกับคนเดียวกับภาคแรก และยังเป็นผู้กำกับในตำนานที่เคยชุบชีวิต “เจมส์ บอนด์” ให้กลับมายิ่งใหญ่ถึงสองครั้งใน GoldenEye และ Casino Royale!
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Legend of Zorro คือภาคต่อที่ “ดูสนุก” แต่ขาด “มนต์ขลัง” ที่ภาคแรกเคยมี
- ส่วนที่ดี: เคมีของ อันโตนิโอ แบนเดอรัส และ แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ ยังคงร้อนแรงและมีเสน่ห์ล้นเหลือ ฉากแอ็คชั่นยังคงทำออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและสร้างสรรค์สมกับเป็นหนังแนว Swashbuckling ชั้นดี หนังมีโทนที่เบาสมองและเป็น “หนังครอบครัว” มากขึ้นจากการเพิ่มบทบาทของลูกชายเข้ามา ซึ่งทำให้ดูง่ายและสนุกสนาน
- ส่วนที่น่าเสียดาย: หนังขาดความเข้มข้นทางอารมณ์และพล็อตเรื่องที่หนักแน่นเหมือนภาคแรก เรื่องราวการสมคบคิดในภาคนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนและดูไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร และโทนที่ตลกมากขึ้นก็ทำให้ความโรแมนติกที่ร้อนแรงของคู่พระนางลดน้อยลงไปบ้าง
โดยรวมแล้ว หากภาคแรกคือหนังแอ็คชั่น-โรแมนติกที่สมบูรณ์แบบ ภาคนี้ก็เปรียบเสมือนหนัง “แอ็คชั่น-ผจญภัย-ครอบครัว” ที่ดูสนุกเพลินๆ
- IMDb: ให้คะแนน 5.9/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ที่ 26% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักวิจารณ์ส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวังและมองว่ามันเป็นภาคต่อที่ด้อยกว่าต้นฉบับอย่างชัดเจน
หมื่นทิพ
⭐ 6/10
รอหลายปีกว่าภาคต่อจะได้คลอดออกมา ตัวผมเองนั้นชอบภาคแรกนะครับ มันสนุกดี ดูเพลินมีจะไม่มีสาระอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นแค่หนังโชว์สตั้นท์ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็เพลินตาใช้ได้ ทีนี้พอได้ดู Trailer ก็ถือว่าตัดออกมาสนุกและน่าจะฮามากขึ้น อีกทั้งทีมงานที่มาทำก็ชุดเดิมซะเป็นส่วนมากไม่ว่าจะดาราหรือผู้กำกับ อีแบบนี้จะไมได้หวังว่ามันสนุกได้ยังไงล่ะครับ แล้วผลก็คือ … ผิดหวังน่ะสิ โธ่เอ้ย หนังออกมาจืดแบบเหลือเชื่อครับ ไม่มีความมันส์แม้แต่น้อย คลนะชั้นกับภาคแรกแบบสุดๆ ก็ภาคแรกมันลื่นน่ะครับ แม้มันจะลงสูตรอย่างที่ผมบอก แต่อย่างน้อยตอนเอาดาบมาฟันกันมันก็ยังลงตัว มีฮามีบู๊แทรกกันอย่างพอเหมาะ แต่พอมาภาคนี้ผมดูไปอึ้งไป เพราะไอ้ฉากฟันดาบผาดโผนทั้งหลายมันไม่สนุกเลยอ้ะ จืดเป็นน้ำเปล่าเลยครับ
ไอ้ไม่แปลกใหม่น่ะผมไม่ว่า แต่ไม่มันส์นี่สิที่รับไม่ได้ Antonio Banderas นั้นยังถือว่าเหมาะกับบทโซโรครับ ดูเท่ห์และมีอารมณ์ขัน ทรงผมได้ใจสาวๆ แน่นอน แต่บทของ Catherine Zeta – Jones นี่สิที่ดูแปลกไปมาก เจ๊แกดันกลายเป็นโทนติงต๊องไปแล้วน่ะครับ ไม่เหมือนภาคแรกที่ดูนิ่งเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ก็มีความแก่นเฟี้ยวซ่อนอยู่ภายใน อ้า อันนั้นน่ะยังบอกได้ว่าดูมีเสน่ห์และองค์ประกอบนางเอกหนังฟันดาบอยู่ค่อนข้างครบ แต่มาในภาคนี้ไม่รู้อะไรของเธอครับ ดูเหมือนจะไร้เหตุผลมากขึ้น แม้หนังจะมีปมเกี่ยวกับเธอซ่อนไว้ก็ตาม แต่บุคลิกตัวละครมันไม่ใช่เอเลน่าจากภาคแรกโดยสิ้นเชิงเลย หรือเจ๊แกจะเปลี่ยนไปเพราะมีลูกชายก็ไม่รู้ … เปลี่ยนไปเป็นติงต๊องขึ้นเนี่ยนะ มันไม่น่าอ้ะ มันน่าจะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสิครับ แบบเดียวกับบทอีวี่ของ Racheal Weicz ใน The Mummy Returns น่ะครับ ขานั้นดูสวยขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลังจากมีลูกแล้ว แล้วยังช่วยให้หนังสนุกขึ้นด้วยเพราะคุณเธอมีวิชาต่อสู้พอเป็นผู้ช่วยของสามีได้ แต่กับบทเอเลน่าในภาคนี้มันออกจะกลายเป็นตัวถ่วงไปซะมากกว่า เฮ่อ ก็ยอมรับเลยครับว่าผมเซ็งกับบทเอเลน่าภาคนี้มากเลยล่ะ
นอกจากนี้หนังยังทะลึ่งยาวตั้ง 2 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่เนื้อหามันเดิมๆ จริงๆ ควรยาวแค่ 90 นาทีพอ ดันไปยิดอยู่ได้ มัวแต่เน้นมุขฮาที่ไม่ฮาเท่าไหร่ หรือไม่ก็ฉากงี่เง่าแบบคาดเดาได้ ตัวอย่างเช่น ฉากคลาสสคิของหนังแนวนี้ครับ ต้องมีฉากที่พวกตัวร้ายมานั่งประชุมกันว่าเราจะดำเนินแผนอย่างไรต่อไป แล้วซักพักก็จะมีหนึ่งในวายร้ายที่ประชุมอยู่ลุกขึ้น ประกาศตัวว่า “ผมขอถอนตัว ไม่เอาด้วยแล้ว และผมจะออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้” แล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป … ป้าดโธ่ พี่ครับ พี่ไม่รู้ตัวหรือไงครับว่าเพิ่งทำการเซ็นต์ใบมรณบัตรให้ตัวเองอ้ะ คือถ้าพี่อยากถอนตัวจริงๆ ผมว่าพี่รอให้เขาประชุมเสร็จก่อนแล้วก็กลับบ้านไปเก็บข้าวของเตรียมหนีแบบไม่ต้องบอกใครเลย แบบนั้นพี่ยังมีโอกาสรอดมากกว่าตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะครับ แต่ในเมื่อประกาศแบบนี้ มีแต่ตายอนาถสถานเดียว ผมดูฉากนี้ไปก็ขำล่ะครับ เพราะมันเห็นมาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว หนังยังอุตส่าห์ใส่ลงมาอีก และไอ้อะไรเดิมๆ แบบเดาได้นี้ก็มีบรรจุอยู่ตลอดเรื่องครับ ไม่เบื่อก็ไม่ไหวล่ะ ตัวร้ายในเรื่องก็การ์ตูนเกินไป แม้ภาคแรกมันจะการ์ตูนเหมือนกันก็เถอะ แต่การวางตัวและมาดมันยังเหมาะครับ โหดพอดีๆ ส่วนภาคนี้มันเชิงติงต๊องอ้ะ ไม่น่าเกรงขามแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่วายร้ายชุดนี้เป็นองค์กรอัศวินอารากอนเลยนะครับ องค์กรระดับจะทำลายอเมริกาน่ะ แต่ดันออกมาเป็นนักเลงปากซอยเสียมากกว่า ดูไปก็สลดไปครับ
และพอดูหนังจนจบผมก็ถึงแก่ความงง ไม่เข้าใจว่าผู้กำกับ Martin Campbell เจ้าเก่าทำไมมือถึงฮวบได้ขนาดนี้ล่ะครับ คือทำหนังแนวอื่นผมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นแนวแอ๊คชั่นนี่เขาไม่เคยพลาดขนาดนี้ ไม่ว่าจะ GoldenEye, The Mask of Zorro หรือ Vertical Limit ที่ออกมาโอเคสนุกตื่นเต้น ผมให้สองดาวครึ่งขึ้นไปทุกเรื่องนั่นแหละ แต่มาอันนี้ผิดคาดครับ ความสนุกไม่มีเลย เป็นงานยักษ์ที่ทำออกมาผิดฟอร์มมากๆ จนไม่แปลกใจเลยครับที่รายได้จะไปไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ก็ออกมาธรรมดานี่หน่า ผมเคยได้ยินคนบ่นนะครับ ว่าภาคแรกไม่สนุกเท่าไหร่ ก็ถ้าคุณเป็นบุคคลที่เห็นว่าภาคแรกน่าเบื่อล่ะก็ เห็นทีภาคนี้คงต้องบอกว่าห้ามดูล่ะครับ เพราะมันจืดพลิกความคาดหมายจริงๆ เรื่องบทก็อืด ไอ้ปมที่ซ่อนไว้ก็คลายแบบไม่สลักสำคัญอะไร เดาได้หมดแน่ๆ ไม่มีลุ้นเลย
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนวผจญภัยย้อนยุคสุดคลาสสิก เราขอแนะนำ:
- The Mask of Zorro (1998): ภาคแรกที่เป็นมาสเตอร์พีซและ “ต้องดู” ก่อนภาคนี้
- Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl (2003): อีกหนึ่งหนังผจญภัย Swashbuckling ที่ยอดเยี่ยมและกลายเป็นตำนาน
- The Mummy (1999): หนังผจญภัยอีกเรื่องที่ผสมผสานแอ็คชั่น, ความตลก, และความโรแมนติกของคู่พระนางได้อย่างลงตัว
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ต้องดูภาคแรก (The Mask of Zorro) มาก่อนไหม?
A: แนะนำอย่างยิ่งครับ! เพราะเรื่องราวทั้งหมดในภาคนี้คือการสานต่อความสัมพันธ์ของตัวละครอเลฮานโดรและเอเลน่า การได้รู้ที่มาที่ไปของพวกเขาจากภาคแรกจะทำให้คุณอินกับเรื่องราวมากขึ้นหลายเท่า
Q: สนุกเท่าภาคแรกไหม?
A: แฟนๆ และนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าภาคแรกนั้น “ดีกว่า” ครับ ด้วยพล็อตเรื่องที่แข็งแรงและโทนที่เข้มข้นกว่า แต่ภาคนี้ก็ยังคงเป็นหนังผจญภัยที่ดูสนุกและให้ความบันเทิงได้ดีในแบบของมันเอง
Q: ทำไมภาคนี้ถึงดูตลกและเป็นหนังเด็กมากกว่าภาคแรก?
A: เป็นความตั้งใจของผู้สร้างครับ ที่จะปรับโทนของหนังให้เบาลงและเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างมากขึ้น การเพิ่มตัวละคร “ลูกชาย” เข้ามาก็ทำให้หนังเน้นไปที่ความเป็น “ครอบครัว” มากกว่าพล็อตล้างแค้นที่ดาร์กกว่าในภาคแรก
บทสรุป: The Legend of Zorro คือภาคต่อที่มอบความบันเทิงได้อย่างซื่อตรง เป็นการผจญภัยที่ดูสนุกเพลินๆ และยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสองนักแสดงนำที่ยากจะหาใครเทียบได้ แม้อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามความยอดเยี่ยมของภาคแรกไปได้ แต่มันก็ยังคงเป็นหนังที่คุณสามารถเปิดดูในวันหยุดกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข