ดูหนัง The Man from Earth (2007) คนอมตะฝ่าหมื่นปี
ทุกท่าน! “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนร่วมงานที่คุณรู้จักมานาน กำลังจะย้ายบ้าน และเขาก็ตัดสินใจสารภาพความลับสุดยอดกับคุณว่า… เขาคือมนุษย์ยุคหินที่มีชีวิตอยู่มานานถึง 14,000 ปี!?” นี่คือพล็อตเรื่องสุด “อัจฉริยะ” และ “เรียบง่าย” ของ The Man from Earth ภาพยนตร์อินดี้ที่จะทำให้การ “ดูหนัง” ของคุณในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่ดำดิ่งสู่การถกเถียงเชิงปรัชญา, วิทยาศาสตร์, และศาสนา ที่ทั้งน่าตื่นเต้นและชวนขบคิดอย่างถึงที่สุด!
เรื่องย่อ
ศาสตราจารย์ จอห์น โอลด์แมน (เดวิด ลี สมิธ) กำลังจะย้ายออกจากเมืองอย่างกะทันหัน ทำให้เพื่อนร่วมงานกลุ่มเล็กๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ (นักชีววิทยา, นักมานุษยวิทยา, นักประวัติศาสตร์, นักโบราณคดี, จิตแพทย์) ต่างก็มารวมตัวกันที่บ้านพักของเขาเพื่อร่ำลา แต่แล้ว… การร่ำลาธรรมดาๆ ก็กลายเป็นการเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อที่สุด เมื่อจอห์นตัดสินใจที่จะเปิดเผย “ความจริง” เกี่ยวกับตัวเอง เขายอมรับว่าเหตุผลที่เขาต้องย้ายที่อยู่ทุกๆ 10 ปี ไม่ใช่เพราะเบื่องาน แต่เป็นเพราะเขา “ไม่แก่ลง” เลย! เขาสารภาพว่าแท้จริงแล้วเขาคือมนุษย์ยุคหิน (Cro-Magnon) ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 14,000 ปีก่อน และมีชีวิตยืนยาวผ่านมาทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน!
แน่นอนว่าเพื่อนร่วมงานของเขาไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ พวกเขาเริ่มต้น “ซักฟอก” จอห์นด้วยคำถามและความรู้จากศาสตร์แขนงต่างๆ ที่ตัวเองเชี่ยวชาญ เพื่อพยายามจะจับผิดและพิสูจน์ว่าเรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องโกหก แต่ยิ่งซักถามมากเท่าไหร่… คำตอบของจอห์นก็ยิ่งดูสมเหตุสมผล, น่าเชื่อถือ, และสั่นคลอนความเชื่อของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หนังทั้งเรื่องคือการปะทะกันทางความคิดที่เข้มข้น ซึ่งจะนำไปสู่บทสรุปที่คาดไม่ถึงและสะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
เดวิด ลี สมิธ (David Lee Smith) รับบทเป็น จอห์น โอลด์แมน: การแสดงที่นิ่งและเยือกเย็น ทำให้ตัวละครดูน่าเชื่อถือและลึกลับ
โทนี่ ท็อดด์ (Tony Todd) (จาก Candyman ), จอห์น บิลลิงสลีย์ (John Billingsley) (จาก Star Trek: Enterprise ) และนักแสดงสมทบมากฝีมืออีกหลายท่านในบทบาทเพื่อนร่วมงาน
ผู้กำกับ: ริชาร์ด เชงค์แมน (Richard Schenkman)
ผู้เขียนบท: เจอโรม บิกซ์บี้ (Jerome Bixby) เกร็ดสำคัญที่สุด: เขาคือสุดยอดนักเขียนนิยายไซไฟระดับตำนาน! ผู้อยู่เบื้องหลังบทภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง Fantastic Voyage และตอนที่โด่งดังที่สุดของ Star Trek และ The Twilight Zone ! และนี่คือบทภาพยนตร์ “เรื่องสุดท้าย” ที่เขาเขียนเสร็จก่อนเสียชีวิต!
โปสเตอร์หนัง
รีวิวและบทวิเคราะห์
The Man from Earth คือชัยชนะของ “บทภาพยนตร์” อย่างแท้จริง
ไอเดียที่ทรงพลัง: หนังเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีทุนสร้างมหาศาลเพื่อที่จะสร้างหนังไซไฟที่ยอดเยี่ยมได้ ขอแค่มี “ไอเดีย” ที่แข็งแรงและน่าสนใจก็เพียงพอ
บทสนทนาคือแอ็คชั่น: นี่คือหนังที่ไม่มีฉากแอ็คชั่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่ “บทสนทนา” คือสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราวและสร้างความตึงเครียดได้อย่างน่าทึ่ง มันคือการต่อสู้ทางความคิดที่เข้มข้นยิ่งกว่าการดวลปืน
กระตุ้นต่อมความคิด: หัวใจของหนังคือการตั้งคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์, ศาสนา, วิทยาศาสตร์, และธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ มันคือหนังที่จะทำให้คุณต้องกลับมา “คิด” ต่ออีกนานหลังจากดูจบ
IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.8/10
Rotten Tomatoes: แม้จะมีคะแนนจากนักวิจารณ์เพียงไม่กี่คน (แต่ส่วนใหญ่ชื่นชม) แต่คะแนนจากฝั่งผู้ชม (Audience Score) สูงถึง 84% ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันสถานะ “คัลท์คลาสสิก” ที่เกิดจากการบอกต่อได้อย่างชัดเจน
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
ผมขอยกให้ The Man from Earth เป็นสุดยอดหนังไซไฟที่กระตุกต่อมคิด อุดมปรัชญา และปลุกจินตนาการได้ โดยไม่มี Special Effect ในหนังเลย แม้แต่ฉากเดียว ศจ.จอห์น โอลด์แมน (David Lee Smith) กำลังจะย้ายไปที่อื่น ในวันขนของวันสุดท้ายเขาก็นัดเพื่อนอาจารย์มาสังสรรค์กันที่บ้าน ทีนี้ระหว่างการสังสรรค์เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วเขานั้นอายุ 14,000 ปี และเหตุผลที่ต้องย้ายไปก็เพราะ หากเขาอยู่ที่นี่ต่อโดยที่ร่างกายไม่แก่ลงเลย ก็อาจจะทำให้คนอื่นๆ สงสัยได้… นั่นแหละครับ จุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมด หนังทั้งเรื่องไม่มี Special Effect ใดๆ เลยครับ มีแต่การสนทนากันตลอด 80 นาทีกว่า เพราะทุกคนก็พากันงงว่าจอห์นกำลังทำอะไรกันแน่ เขากำลังอำเพื่อแกล้งเป็นการส่งท้ายหรือเปล่า หรือเรื่องที่จอห์นเล่าคือความจริงกันแน่?
เพื่อนอาจารย์แต่ละคนก็พยายามคุย ถาม ตะล่อม และจับผิดสิ่งที่จอห์นเล่า แต่สุดท้ายแล้วบทลงเอยจะเป็นยังไง ผมอยากให้ลองชมกันดูนะครับ สำหรับผม หนังเรื่องนี้มันกระตุ้นความคิดดีมากๆ เพราะบทสนทนามันไม่ได้มีแต่การหาคำตอบว่าจอห์นมีอายุ 14,000 ปีจริงหรือไม่ แต่มันมีทั้งการวิเคราะห์, การประเมิน, มีการนำความรู้มาหาคำตอบ แล้วก็มีการตั้งประเด็นมาถกเถียง บางครั้งก็เอาทฤษฎีมาหักล้างกัน ยิ่งประเด็นไหนเกี่ยวกับศาสนานี่ก็จะมีทั้งข้อมูล ความเชื่อ และอารมณ์เข้ามาผสม เพราะแต่ละคนเชื่อต่างกัน และบางครั้งคำพูดของคนหนึ่ง ก็ไปกระทบศรัทธาของคนอีกคน จนทำให้บทสนทนาเข้มข้นและชวนคิดมากขึ้นไปอีก เชื่อไหมครับ ตั้งแต่ต้นจนจบเหตุเกิดในบ้านหลังเล็กๆ ของจอห์นเพียงที่เดียว แต่การพูดคุยสนทนามันพาเราย้อนไปอดีต ชวนไปสำรวจจิตใจของคน พาไปตั้งคำถามต่อทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเรื่องวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ, ศาสนา, จิตวิทยา ฯลฯ ว่าง่ายๆ คือภาพตรงหน้าน่ะแค่คนคุยกัน แต่ในสมองเรานั้นได้แง่คิด ได้ประเด็น ได้มองเห็นโลกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หนังไซไฟ Effect หลายร้อยล้านบางเรื่องยังกระตุ้นจินตนาการผมไม่ได้เท่านี้เลยครับ
หนังเรื่องนี้เขียนบทโดย Jerome Bixby มือเขียนบทเก่าแก่ที่เคยเขียนบทให้ซีรี่ส์ The Twilight Zone ตอน It’s a Good Life (ที่ถูกนำมารีเมคในฉบับโรงใหญ่ปี 1983 ด้วย) และ Star Trek (ภาคต้นฉบับ) ซึ่งเขานั้นมีไอเดียบทหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ยุค 60 แต่มาเขียนเสร็จเอาปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่เขาเสียชีวิตพอดี แล้วบทหนังเรื่องนี้ก็ถูกส่งต่อให้กับ Richard Schenkman ผู้กำกับหนังเกรดบี (อันที่จริงคือเขากำกับหนังให้ Playboy ด้วยน่ะครับ งานล่าสุดของผู้กำกับคนนีคือ Abraham Lincoln vs. Zombies ครับ โดย Schenkman ก็สร้างเรื่องนี้เสร็จด้วยงบราว $200,000 เหรียญครับ แน่นอนว่าหนังถูกเผยแพร่เพียงวงจำกัด แต่ด้วยความเยี่ยมของมันเลยทำให้เกิดการบอกต่อครับ จนในที่สุดหนังก็ได้รับการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ IMDB มีคนโหวตให้เกือบแสนคนซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับหนังฟอร์มเล็กมากๆ แบบนี้
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในหนังไซไฟ-ปรัชญาที่เน้นบทสนทนา เราขอแนะนำ:
12 Angry Men (1957) : แม้จะไม่ใช่ไซไฟ แต่คือมาสเตอร์พีซของหนังที่เกิดขึ้นในห้องเดียวและขับเคลื่อนด้วยบทสนทนาล้วนๆ
Primer (2004) : หนังไซไฟทุนต่ำอีกเรื่องที่ซับซ้อนและชาญฉลาดอย่างยิ่ง
Coherence (2013) : หนังไซไฟ-ทริลเลอร์ทุนต่ำที่เล่นกับแนวคิดจักรวาลคู่ขนานได้อย่างน่าทึ่งในพื้นที่จำกัด
My Dinner with Andre (1981) : หากคุณชอบหนังที่คนสองคนนั่งคุยกันทั้งเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงเหรอ?
A: ไม่ใช่ เป็นเรื่องแต่งที่มาจากจินตนาการอันสุดยอดของ เจอโรม บิกซ์บี้
Q: หนังมีแต่คนนั่งคุยกันทั้งเรื่อง จะน่าเบื่อไหม?
A: ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคุณเลยครับ! ถ้าคุณมองหาหนังแอ็คชั่น คุณจะเบื่อแน่นอน แต่ถ้าคุณชอบหนังที่ “กระตุ้นความคิด” และ “ท้าทาย” คุณจะพบว่าบทสนทนาในเรื่องนี้ “น่าติดตาม” และ “ตื่นเต้น” ยิ่งกว่าหนังแอ็คชั่นหลายๆ เรื่องเสียอีก
Q: นี่เป็นหนังไซไฟประเภทไหน?
A: เป็น “ไซไฟเชิงปรัชญา” (Philosophical Sci-Fi) โฟกัสหลักอยู่ที่ “แนวคิด” และ “ผลกระทบ” ของการมีอยู่ของตัวละครเอก ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือเอฟเฟกต์พิเศษ
บทสรุป: The Man from Earth คืออัญมณีเม็ดงามแห่งวงการหนังอินดี้ เป็นบทพิสูจน์ว่าพลังที่แท้จริงของภาพยนตร์นั้นอยู่ที่ “เรื่องราว” และ “ไอเดีย” นี่คือหนัง “ต้องดู” สำหรับคอหนังไซไฟตัวจริงและทุกคนที่รักในภาพยนตร์ที่กล้าจะแตกต่างและท้าทายความคิด