นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เอเดรียน โบรดี้ (Adrien Brody) รับบทเป็น วลาดิสลาฟ สปิลมันน์: นี่คือการแสดงแห่งชีวิต! โบรดี้ทุ่มเทให้กับบทนี้อย่างสุดตัว เขาลดน้ำหนักไปกว่า 14 กิโลกรัม, เรียนเล่นเปียโน, และทิ้งทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อเข้าถึงความรู้สึกของการสูญสิ้นทุกสิ่ง การแสดงอันยอดเยี่ยมนี้ส่งให้เขาคว้ารางวัล “ออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” ไปครองด้วยวัยเพียง 29 ปี ซึ่งเป็นผู้ชนะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาขานี้
- ผู้กำกับ: โรมัน โปลันสกี้ (Roman Polanski) ผู้กำกับระดับตำนานที่นำเอาประสบการณ์ตรงของตัวเองในวัยเด็กที่เคยรอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโปแลนด์มาสร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ทุกฉากทุกตอนเต็มไปด้วยความสมจริงและทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และส่งให้เขาคว้ารางวัล “ออสการ์ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม”
โปสเตอร์หนัง

รีวิวและบทวิเคราะห์
The Pianist คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องโศกนาฏกรรมได้อย่าง “สมจริง” และ “ไม่ฟูมฟาย” ที่สุดเรื่องหนึ่ง มันไม่ได้พยายามบีบคั้นอารมณ์ด้วยดนตรีประกอบที่โหมกระหน่ำ แต่เลือกที่จะนำเสนอภาพความโหดร้ายอย่างตรงไปตรงมาและเงียบงัน ซึ่งกลับสร้างผลกระทบทางอารมณ์ที่รุนแรงยิ่งกว่า
- เรื่องราวของการ “เอาชีวิตรอด” ไม่ใช่ “การต่อสู้”: สปิลมันน์ในเรื่องนี้ไม่ใช่ฮีโร่ที่ลุกขึ้นมาจับปืนสู้ แต่เขาคือ “ผู้สังเกตการณ์” และ “ผู้รอดชีวิต” ที่ต้องใช้สัญชาตญาณทุกอย่างเพื่อมีชีวิตรอดไปวันๆ ซึ่งทำให้เรื่องราวดูสมจริงและน่าสะเทือนใจ
- พลังของศิลปะ: ท่ามกลางความโหดร้าย “ดนตรี” คือสิ่งเดียวที่คอยย้ำเตือนถึงความเป็นมนุษย์และอารยธรรม มันคือสิ่งที่สวยงามและเป็นอมตะ แม้โลกรอบข้างจะพังทลายลงก็ตาม
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 8.5/10 (ติดอันดับ Top 50 หนังที่ดีที่สุดตลอดกาล)
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้นถึง 95% (Certified Fresh)
หมื่นทิพ
⭐ 7/10
อีกหนึ่งหนังที่นำเอาความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถ่ายทอดแบบตรงไปตรงมา… ดูแล้วชวนให้สลดและหดหู่ใจอย่างยิ่งทีเดียวครับ หนังสร้างจากหนังสือของ วลาดิสลอว์ สปิลมันน์ (Wladyslaw Szpilman) นักเปียโนชาวยิวที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาได้ และหนังกำกับโดย Roman Polanski ที่ตัวเขาเองก็ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาเหมือนกันครับ เขาต้องสูญเสียเสียแม่จากการสังหารโหดที่ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ตัวหนังเล่าตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่พวกนาซีเข้ามายึดเมืองที่ครอบครัวสปิลมันน์อาศัยอยู่ แล้วก็เริ่มออกคำสั่งจำกัดอิสรภาพชาวยิวทีละน้อย จนในที่สุดก็ถึงขั้นจับชาวยิวมาฆ่าเหมือนผักปลา ซึ่งบอกตรงๆ เลยครับว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วอดเครียดไม่ได้ เพราะเราจะได้เห็นความโหดร้ายสารพัดรูปแบบที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง คนมากมายต้องมาตายเพียงเพราะพวกเขาเป็นชาวยิว ทั้งโดนยิง โดนโยนจากตึก… สารภาพเลยครับว่าแค่ผมพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พูดได้เต็มปากว่าหนังทำออกมาได้ดีครับ หนังเล่าได้อย่างน่าติดตาม แม้ความยาวจะมากถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนังยืดหรืออะไรเลยครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะภาพความโหดร้ายอย่างที่ผมได้บอกไป คือระหว่างดูนี่มันไม่ได้อยากเห็นเลยนะครับ ภาพคนต้องมาตายไปทีละคนๆ แบบนี้ คือใจมันอยากให้มีใครก็ได้ไปช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้น หรือไม่ก็อยากให้พวกเขาหนีรอดไปจากเรื่องนี้ได้ แต่จากภาพที่เห็น (และจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว) ชาวยิวโดนสังหารไปมากมายครับ มีคนตายทุกวัน… ทุกชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
นี่อาจเป็นหนังชีวิตนะครับ แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนหนังสยองขวัญ การที่มนุษย์สามารถฆ่ามนุษย์ด้วยกันโดยที่ไม่รู้สึกผิดมันคือสิ่งที่น่ากลัวจนเกินบรรยาย มันแสดงให้เห็นน่ะครับว่าคนที่ลงมือฆ่านั้นเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเขากำลังทำสิ่งที่ถูก เขากำลังทำในสิ่งที่ควรทำ… พวกเขาน่ากลัวไม่ต่างจากฆาตกรโหดที่เราเห็นในหนังสยองไล่เชือดเลย… จริงๆ อาจจะน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำครับ แต่แม้ผมจะดูไปแล้วสลดไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังเล่าเรื่องได้ดีจริงๆ รวมถึงฉากต่างๆ เครื่องแต่งกายต่างๆ ที่ทำให้เราเห็นภาพประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจนราวกับมันมาเกิดขึ้นตรงหน้า และแน่นอนครับว่าพลังสำคัญอีกหนึ่งประการคือการแสดงดีๆ ของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Adrien Brody ที่รับบท วลาดิสลอว์ได้อย่างน่าปรบมือ ไม่แปลกใจเลยครับที่ปีนั้นเขาจะได้ออสการ์ไปครอง เพราะเขาทั้งเล่นดีและทุ่มเทในการแสดง (ยอมลดน้ำหนักให้ตัวเองซูบผอมและโทรมแบบสุดๆ) ยิ่งการแสดงออกทางสีหน้านี่ไว้ใจเขาได้เลยครับ รายนี้ทำได้ดีเสมอมา โดยเฉพาะบทเศร้าๆ เพราะว่าตามจริงเค้าหน้าของเขานั้นออกแนวเศร้าอยู่แล้ว
Smells_Like_Cheese
⭐ 10/10
โอ้โห ฉันลืมหนังเรื่องนี้ไปไม่ได้เลย มันหายากมากที่หนังเรื่องไหนจะมีอิทธิพลต่อฉันได้เหมือน “The Pianst” หนังเรื่องล่าสุดที่ทำให้ฉันประทับใจได้คือ “Casino” ตอนดูหนังฉันเหนื่อยมาก เกือบเที่ยงคืนแล้ว เลยคิดว่าจะเริ่มดูแล้วค่อยดูต่อพรุ่งนี้เช้า จริงไหม? ไม่สิ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้หยุดดูเลย หยุดไม่ได้เลย ฉันแค่อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ฉันร้องไห้ตอนดู “Schindler’s List” สะอื้นไห้ในหนังเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้มันน่าเศร้ามาก เอเดรียน โบรดี้แสดงได้ยอดเยี่ยมมากในหนังเรื่องนี้ ฉันขอแนะนำหนังเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบประวัติศาสตร์ ขอร้องล่ะ ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้ควรติดอันดับ 1 ใน 10 หนังที่ดีที่สุดตลอดกาล
ฉันดูในบอร์ดข้อความต่างๆ ที่คุณรู้จัก และคอมเมนต์ของผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ พวกเขาวิจารณ์การแสดงของเอเดรียน โบรดี และบอกว่าเขาน่าเบื่อและแสดงอารมณ์ได้แค่แบบที่เล่นง่ายๆ ได้โปรดเถอะ คุณคงล้อเล่นแน่ๆ ผู้ชายคนนี้ถ่ายทอดความรู้สึกสิ้นหวัง โดดเดี่ยว และถูกเกลียดได้อย่างหมดจด ครั้งหนึ่งตอนมัธยมฉันเคยออดิชั่นแบบนี้เพื่อดูว่าจะด้นสดได้ไหม และวิธีที่ฉันจินตนาการถึงความรู้สึกนี้เหมือนในดอดจ์บอล ที่ไม่มีใครในทีมเหลือรอดอยู่คนเดียว แต่ในอีกทีมกลับมีผู้ชายร่างใหญ่ 20 คนรอที่จะฟาดลูกบอลใส่คุณ เอเดรียนทำได้ดีที่สุดแล้ว ฉันกลัวแทนเขามาก ร้องไห้ให้เขาตลอดทั้งเรื่องตอนที่เขากำลังวิ่งอยู่
โรมัน โปลันสกี ในฐานะผู้กำกับ เขาเองก็รอดพ้นจากความหวาดกลัวจากการเป็นนักโทษในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เขาก็สูญเสียแม่และสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ไป ใช่ ฉันมั่นใจว่าหนังเรื่องนี้คงยากที่จะสร้างใหม่ให้เขา แต่เขาน่าจะเป็นผู้กำกับคนเดียวที่สามารถสร้างหนังเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเท่าเขา เขาสร้างเรื่องราวนี้ขึ้นมาและทำให้มันมีประสิทธิภาพมาก ฉันโทรหาแม่และบอกเธอว่าฉันรักแม่มาก เพราะเรามองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไป จริงอยู่ นี่ไม่ใช่ยุค 1930 หรือ 1940 และเราอยู่ในอเมริกา แต่มันก็ยังน่ากลัวที่คิดว่ามนุษย์สามารถเกลียดชังและโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันได้มากขนาดนั้น
สงครามโลกครั้งที่สองเป็นหนึ่งในสงครามที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ หากคุณอ่านเกี่ยวกับ The Holocaust มากขึ้น คุณจะยิ่งอินกับมันมากขึ้น และคุณควรจะสนใจ หากคุณไม่สนใจ ลองดูหนังเรื่องนี้ดู มันเป็นหนังที่ต้องดู ไม่เช่นนั้นเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของเราได้อย่างไร The Pianist เป็นเรื่องราวที่สวยงามและมืดมนที่สุดเกี่ยวกับชายคนหนึ่งและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ตอนจบทรงพลังและกินใจมากที่รู้ว่าบางครั้งผู้ชายคนหนึ่งก็สามารถสร้างความแตกต่างให้กับฝูงชนมากมายได้ และฉันไม่ได้หมายถึงตัวละครของเอเดรียน โบรดี้นะ คุณจะเข้าใจเองว่าฉันหมายถึงอะไร
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชมภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เราขอแนะนำ:
- Schindler’s List (1993): อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ทุกคนต้องดู
- Life Is Beautiful (1997): หนังจากอิตาลีที่เล่าเรื่องเดียวกันในมุมมองที่แตกต่างออกไป แต่ก็สะเทือนอารมณ์ไม่แพ้กัน
- The Boy in the Striped Pyjamas (2008): เรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เล่าผ่านสายตาของเด็กชายสองคน
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงหรือไม่?
A: สร้างจากเรื่องจริง 100% ครับ โดยอิงจากหนังสือบันทึกความทรงจำของ วลาดิสลาฟ สปิลมันน์ ตัวจริง ผู้ซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในวอร์ซอ
Q: หนังเรื่องนี้โหดร้ายและดูยากแค่ไหน?
A: เป็นหนังที่ดูยากและสะเทือนอารมณ์อย่างมากครับ หนังนำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามอย่างตรงไปตรงมา ทั้งการอดอยาก, การสังหาร, และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ เหมาะสำหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
Q: ทำไมการแสดงของ เอเดรียน โบรดี้ ถึงได้รับรางวัลออสการ์?
A: เพราะความทุ่มเทอย่างสุดตัวของเขาครับ นอกจากการลดน้ำหนักแล้ว เขายังถ่ายทอดความเจ็บปวด, ความสิ้นหวัง, และการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างออกมาทางสายตาและการแสดงออกได้อย่างน่าทึ่ง แม้ในหลายๆ ฉากจะไม่มีบทพูดเลยก็ตาม
บทสรุป: The Pianist คือภาพยนตร์ที่ “ต้องดู” สักครั้งในชีวิต มันคือผลงานศิลปะชั้นสูงที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังและเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเลวร้ายของสงครามและความงดงามของจิตวิญญาณมนุษย์ที่ไม่ยอมแพ้ แม้จะดูยาก… แต่มันคือประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่คุณจะไม่มีวันลืม